สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ เนื่องจากในเดือนที่แล้วผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมา ก็เลยจะมาแบ่งปันประสบการณ์การไปเที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน ด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เป็นแชร์ทริปกับเพื่อนไปกัน 10 คน แชร์ 3 วันแรก เที่ยวด้วยกัน หลังจากนั้นแยกกันแล้วค่อยมาเจอกันอีกทีตอนวันกลับ 555 สนุกดี ครั้งนี้เป็นทริปแรกสำหรับการไปญี่ปุ่น ไม่ได้ไปผ่านทัวร์อะไรทั้งสิ้น ทริปนี้เที่ยวญี่ปุ่นลุยเองเลย และที่สำคัญอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกนะ อาศัยใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ภาษาญี่ปุ่นงูๆปลาๆ ก็สามารถท่องเทียวได้แล้ว จริงๆ แล้วการเดินทางท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นนี่มีคนเขียนเยอะมากๆ แต่จะเพิ่มอีกสักบทความจะเป็นอะไรไป เพราะผมเชื่อว่าเราแต่ละคนเดินทางท่องเทียวในสไตล์ของตัวเอง ไม่เหมือนกันแน่นอน
สำหรับบทความนี้ผมจะเขียนอย่างละเอียดถึง การเตรียมตัว และ วิธีการเดินทาง ทั้งหมด หรือเอาตัวรอดในประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ เป็นรูปแบบ Travel guild ในสไตล์ของผมละกันเนาะ และบอกไว้ก่อนว่าทริปนี้ไม่ใช่ทริปประหยัดขนาดแบกเป้เดินเที่ยวนะครับ เดี๋ยวผมจะมีสรุปค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จริงๆทั้งหมดครับ เที่ยวญี่ปุ่น 10 วันใช้เงินเท่าไร 2 คน งบเยอะไหม ดูได้ที่ท้ายบทความ ถ้าใครจะไปญี่ปุ่นก็ทำตามทีละขั้นตอนที่ผมทำได้เลย
จองตั๋วเครื่องบินสำหรับเดินทางเที่ยวญี่ปุ่น Airasia
การเดินทางครั้งนี้ผมได้เลือกวันและเวลาไปญี่ปุ่นกลางเดือน มิถุนายน 2560 ระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน ถึง 19 มิถุนายน ซึ่งกำลังจะเข้าหน้าร้อน แต่จะเป็นหน้าฝน ถ้าดูจากรูปด้านล่างนี้น่าจะเข้าใจ
ทำไมถึงเลือกไปช่วงนี้ คือเห็นตั๋วถูก 2 คน ไป-กลับ จ่ายไปแค่ 15,704 บาท สำหรับ 2 คนนะครับไม่ใช่คนเดียว จองล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2560
- จากสนามบินดอนเมือง ไปสนามบินนาริตะ บินจริงก็วันที่ 10 มิถุนายน ตอน 11 โมง 15 นาที ถึงญี่ปุ่นก็ 19:40 เลย
- ตอนกลับจากสนามบินคันไซ กลับมาดอนเมือง บินกลับวันที่ 19 มิถุนายน ตอน 23 นาฬิกา 55 นาที ถึงไทยก็ ตี 3: 45
ในการประเมินค่าใช้จ่ายอย่าลืม ค่าเดินทางมากรุงเทพ ด้วยนะครับจากบ้าน สำหรับผมอยู่ต่างจังหวัด ผมก็ต้องบินมาอยู่กรุงเทพก่อนหนึ่งวัน มาพักที่คอนโด หรือตรงส่วนนี้ตามสะดวกแต่ละคนครับ แต่การประเมินค่าใช้จ่ายของผมจะเริ่มนับจากสนามบินดอนเมืองไปเลยนะครับ
โหลดกระเป๋า อาจจะจองไปก่อนเลยก็ได้ แนะนำสำหรับ 2 คน โหลดไปสัก 20 กิโลกรัม ตอนกลับสัก 30 กิโลกรัมนะครับ ถ้าเป็นไปได้ ถ้าไม่ซื้อไว้ไปซื้อหน้าสนามบินเลยมันจะแพง
การจองตั๋วไม่ต้องจองแบบ fix ที่นั่งก็ได้ครับตอนโหลดกระเป๋าค่อยไปต่อใกล้ๆ กันแล้วเข้าไปพร้อมกันพนักงานก็จะใจดีให้เรานั่งติดกันเอง
สำหรับใครไปครอบครัวใหญ่จองผ่าน App เดียวกันของคนเดียวกันเลยก็ได้ แต่ถ้าไปกับเพื่อน แนะนำจองแยกจะดีกว่า เพราะว่าจะจัดการง่ายกว่า มันจะขึ้นแสดงบนมือถือเราเลย เช็กอินก็ง่าย อะไรก็ง่าย ไม่ต้องรอให้เพื่อนถ่ายภาพส่งมาให้ มันจะช้ามากที่ต้องรอกัน จำไว้ว่าจองแยกดีที่สุด
ควรซื้ออาหารระหว่างเดินทางครับ จองพร้อมกับการซื้อตั๋วเลยก็ดี จะมีให้เลือกเยอะ แต่ถ้าไปซื้อบนเครื่องจะมีให้เลือกน้อย เนื่องจากทริปเราเป็นทริปยาวๆ ค่าอาหารจะแพงกว่าทริปใกล้ๆ ละแวกบ้านเรา เช่นสิงคโปร์ มาเลเซีย
การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง
บางทีไปอ่านมาหลายที่ก็งงๆ มากๆครับ ไม่รู้จะทำตามใครดี ประสบการณ์คนอื่น ไม่เท่ากับเจอด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยก็ช่วยได้ล่ะเนาะ สิ่งที่ต้องเตรียมครับ
- พาสปอร์ต ยังไงก็ต้องทำกันก่อนอยู่แล้ว
- แผนการเดินทางท่องเที่ยว ต้องมีครับ
- จองโรงแรม
เราจะมาทำกันทีละอย่างกันเลยดีกว่า
1. พาสปอร์ต สำหรับใครที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ให้ไปทำพาสปอร์ตแต่เนิ่นๆ ล่วงหน้าหลายๆ เดือนก็ดีครับ
2. แผนการเดินทางท่องเที่ยว
ข้อผิดพลาด
สำหรับผมแล้ว แผนการเดินทางใช้เวลานานที่สุดครับ กว่าจะออกแบบนาน การไปท่องเที่ยวโดยไม่มีแผน จะทำให้เราเสียเงินโดยใช้เหตุ ผมเคยมาแล้ว เช่นตอนนั้นไปมาเลย์ เห็นว่าใกล้ๆ เลยไม่ได้ดูอะไรเลย พอไปถึงนั่ง taxi เจอ taxi โกง วนไปวนมาไม่ถึงที่หมายและเรียกค่า toll way ชาร์จอีก เอาเป็นว่าเบิกมา 500 RM ใช้ไปเหลือ 100 กว่าๆ RM (1 RM = 8บาท ริงกิต) นี่เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวไปเลยไม่รู้ว่าค่า taxi นี่มันเท่าไรกันแน่ พูดง่ายๆ คือไม่คุ้นเคยกับสกุลเงินเขา ไม่รู้มูลค่านั่นเอง ดังนั้นอยากให้ทุกคนได้เตรียมตัวก่อนล่วงหน้า อย่างน้อยถ้าผมเตรียมตัวไป ผมจะได้รู้ว่าค่า taxi ในมาเลเซียเท่าไรถึงจะเรียกว่าแพง
สิ่งที่ควรทำ
ในการเตรียมตัว ควรเผื่อเวลาไว้ 2 อาทิตย์เลยครับ เตรียมไปเรื่อยๆ วางแผนการเดินทางเรื่อยๆ สำหรับผมใช้เวลาประมาณ 7 วัน ทั้งวันนะครับ ปกติทำงานอยู่บ้านอยู่แล้ว เลยขอหยุดมาหาข้อมูลซะเลย ช่วงก่อนไปไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากหาข้อมูล ดังนั้นใครที่คิดจะเดินทางไปเที่ยว ถ้าอยากสนุก ก็ไปวางแผนกันเลย
การวางแผน ผมจะใช้โปรแกรม spreadsheet ของ google คือเขียนไว้ online เลย เผื่อหาย จะได้ดาวน์โหลดจากออนไลน์ได้ในภายหลัง แต่ถ้าใครไม่ถนัดก็ใช้ microsoft excel ก็ได้ครับ โดยแผนของผมละเอียดขนาดไหนดูจากรูปด้านล่าง
ดูแผนการเที่ยวของผมเอง คลิ๊กที่นี่
หรือต้องการดาวน์โหลดไปแก้ไข ดาวน์โหลด
ก่อนการสร้างแผนให้ทุกคนเปิด excel ขึ้นมาก่อน แล้วก็ทำตามภาพด้านบน
ต่อมาให้เข้าไปที่ google ไปค้นหาข้อมูลว่าเราจะไปที่ไหนกันบ้าง เช่นผมไปลงสนามบินนาริตะ
สิ่งที่คุณต้องคิดในหัวคือ
- ผมจะไปไหนต่อจากนั้น
- ตอนนี้เวลาเท่าไร เวลาจะพอไหม
- มีอะไรให้เที่ยวบ้างตรงบริเวณนั้น
- จะอยู่นานขนาดไหนแต่ละที่
- พักตรงไหนดี
- วางแผนการเดินทางโดยรถไฟในญี่ปุ่น
สำหรับผมแล้ว เมื่อผมลงสนามบินสนามบินนาริตะ มันดึกแล้ว ผมก็เลยคิดไว้ว่าจะต้องหาโรงแรมใน Tokyo พัก และก็จบการเดินทางสำหรับวันนั้น แต่ผมยังไม่ได้หาโรงแรมนะ ผมเริ่มจากการไปหาที่เที่ยวที่สำคัญในโตเกี่ยววันถัดไปก่อน ไปอ่านรีวิวคนนั้นคนนี่ เยอะมากตาลายสุดๆ แต่ละบทความก็ใช้เวลานานมากในการตัดสินใจ เมื่อสนใจที่ท่องเที่ยวแล้ว ให้ทุกคนเปิด google.com/maps มาเพื่อ mark ดาว จุดสำคัญที่เราจะไป ลงไปในแผนที่ เพื่อให้เราทราบว่ามันตั้งอยู่ใกล้กันไหม ตามภาพครับ (กระบวนการนี้ใช้เวลานานสักหลายวัน)
- จะหาที่เที่ยวได้ยังไง ก็ค้น google อ่านรีวิวใน pantip เต็มไปหมดครับ
- สนใจเช่น disney sea อยากไป ก็เอาคำว่า disney sea มาใส่ใน google maps ต่อมันก็จะชี้ไปยังตำแหน่งให้เรามาร์คดาวเอาไว้ครับ ตามภาพเลย
ทำไมเราต้องทำแบบนี้ เพราะว่าเราจะได้รู่ว่าตำแหน่งมันอยู่ห่างกันไหม จะได้รู้ว่าอะไรไปได้ อะไรไปไม่ได้ ในหนึ่งวัน เช่นถ้าเราจะไปเที่ยว disney sea เนื่องจากมันอยู่ไกลจากโตเกียว จากที่พัก และมันกว้างใหญ่ ผมก็ต้องจัดทริปให้วันนั้น ไป disney sea ทั้งวัน เป็นต้น
ถัดมา เมื่อรู้แล้วว่าจะเที่ยวที่ไหน ให้เราไปค้นหาที่พักใน pantip ผมก็เห็นรีวิวคนอื่นเขา โรงแรมสวยดี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ผมเที่ยวด้วย ผมก็ทำการวางแผนเลยว่าจะพักโรงแรมแห่งนี้ ชื่อว่า Hotel Mystays Asakusa คนไทยไปพักเยอะ และที่สำคัญราคาก็ประมาณ 1,800 บาท ถือว่าโอเค ห้องก็ใช้ได้เลย วางแผนไว้ก่อน เขียนไว้ แต่ยังไม่จองจริงๆนะ แผนเสร็จค่อยจองทีเดียว
- การจองผมจะทำผ่าน agoda ในภายหลังจากแผนเสร็จแล้วครับ เผื่อปรับเปลี่ยน ถ้าจองเลย เดี๋ยวมันจะผิด
หมายเหตุ การวางแผนควรทำล่วงหน้าเยอะๆ เหตุผลคือ ถ้าทำใกล้ๆ ตอนกำลังวางแผน โรงแรมอาจจะเต็มเพราะเราจองช้าก็เป็นได้ |
อย่าลืมเอาโรงแรมเราไปใส่ในแผนที่ด้วยนะ จะได้ดูง่าย ภาพด้านล่างนี้ผมแคปมาจากมือถือ รู้หรือไม่ว่าในมือถือเราสามารถใส่ icon อื่นนอกจากดาวได้ด้วยนะ สำหรับผมใช้ หัวใจ แทนโรงแรม แต่ถ้ามองบน google.com/maps มันก็จะเป็นดาว เหมือนเดิม ใส่ไว้แบบนี้จะได้เห็นความแตกต่างระหว่างที่พักกับที่เที่ยว
- ที่พักควรอยู่ใกล้รถไฟ เส้นทางเดินรถไฟ จะได้เดินไม่ไกล และสามารถวาร์ปไปที่เที่ยวต่างๆ ได้ง่ายๆ
ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าจะไปไหนและพักที่ไหนบ้าง ก็มาถึงขั้นตอนการวางแผนการเดินทาง ทำไมเราต้องวางแผนด้วย เพราะจะได้
- ประเมินค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง สำหรับคนเดินทางไปครั้งแรก
- รู้ว่าจะไปไหนไปยังไง อันนี้สำคัญมาก ที่ๆเราจะไปๆโดยรถไฟได้ไหม หรือต้องต่อรถบัส
ใครบ้างที่ไม่ต้องวางแผนการเดินทาง
- คนที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ อยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว ไม่ใช่ครั้งแรก
ดังนั้นสำหรับผมก็คือต้องวางแผน เพื่อที่จะรู้ด้วยว่าการเดินทางแบบไหนดีที่สุด แนะนำเว็บเลยครับ hyperdia.com ให้ใส่สถานที่ต้นทาง และปลายทาง และก็วันที่ไป เวลาที่จะเดินทางลงไป แล้วกด search
จะขึ้นผลลัพธ์ออกมา ให้เราเลือกรถไฟขบวนที่ถูก หรือ ไม่ถูกก็ได้ แต่เหมาะสมกับเวลาเราที่สุด
- ถ้าดูจากด้านล่าง บนสุด Route 1 ราคารวม 2630 บาท เพราะมีค่าธรรมเนียมที่นั่งจอง และต้องต่อรถไฟ
ความหมาย
Liner คือ รถไฟพิเศษที่ๆนั่งจะหันไปด้านหน้าอย่างเดียว ไปถึงญี่ปุ่นจะรู้เลยคันนี้ Liner แน่ๆ เพราะจแตกต่างจากขบวนอื่นๆ ขบวนอื่นๆก็เหมือนรถไฟฟ้า BTS ก็จะมีที่นั่ง 2 ฝั่ง แต่ถ้า Liner จะมีที่นั่งหันหน้าไปทางเดียว แถวหนึ่งนั่งได้ 4 คน และ Liner เหมือนจะไม่ค่อยจอด จนไปถึงปลายทาง
Reserved Seat ถ้าขบวนไหนมันขึ้นว่า Reserved seat หมายถึงว่าเราจะต้องจ่ายค่าจองที่นั่งให้เขาเพิ่มอีก
Green Seat ที่นั่งพิเศษ ขึ้นไปอีก อันนี้ไม่เคยนั่ง
การวางแผนการเดินทางด้วยรถไฟนี้ไม่ต้องซีเรียสมาก เพราะว่าพอมาถึงญี่ปุ่น เราอาจจะไม่ได้ทำตามแผนมากนัก แต่ที่ทำไว้เพื่อที่เราจะได้ประมาณการดำเนิทางของเราคร่าวๆว่าจะต้องเสียเงินเท่าไรในทริปนี้
JR Pass 7 วัน จำเป็นไหม การที่เราจะซื้อ JR Pass จะต้องซื้อผ่น agent ในไทยเท่านั้น จะไม่มีขายที่ญี่ปุ่น ท่านจะต้องซื้อที่ไทยแล้วเอาไปแลกเป็นตั๋วที่ญี่ปุ่น แล้วมันจำเป็นไหม มาดูกันว่าจำเป็นหรือไม่จากตรงนี้ครับ
ควรซื้อถ้า
- ถ้าท่านต้องการนั่งรถไฟเที่ยวในโตเกียว และนั่งรถไฟ Shinkansen จากโตเกียวข้ามประเทศไปยัง Osaka แล้ว ตอนกลับก็กลับด้วย Shinkansen มา Tokyo ซ้ำอีกครั้ง เดินทางในโตเกียวเที่ยวอีก และเพื่อขึ้นเครื่องกลับที่ Narita อีก เอาเป็นว่าใช้รถไฟเยอะ ควรซื้อ เพราะจะลดค่าใช้จ่าย
- ถ้าชอบนั่งรถไฟเล่น ไปๆ มาๆ วันๆ อยู่แต่ในหลุมรถไฟใต้ดิน ซื้อเลยครับ 555
ไม่ควรซื้อ
- ปกติคนเราจะนั่งรถไฟแค่ตอนเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และในปกติแล้วจะเที่ยววันหนึ่งแค่ 1-2 แห่ง มากสุด ก็ 3 แห่งล่ะ ใกล้ๆ กันด้วย ดังนั้น ค่าใช้จ่ายก็จะเกิดขึ้นไม่มาก เท่าไร การซื้อตั๋วเอาดาบหน้าที่สถานีเลย จึงเป็นการดีที่สุด บางคนบอกว่าซื้อไม่เป็น ผมจะบอกว่าแต่ก่อนผมก็ไม่เป็น เดี๋ยวไปถึงก็เป็นเองล่ะ 555
หลังจากที่ผมทำแผนคร่าวๆโดยใช้ Hyperdia เสร็จทั้งหมด พบว่าแผนการเดินทางของผม จ่ายแยกจะคุ้มกว่าซื้อ JR Pass แน่นอน 100% ดังนั้นผมก็จะไม่ซื้อ JR Pass นะครับ ดูแผนเดินทางของผมอีกครั้ง หลังจากวางแผนเสร็จแล้ว คลิ๊กที่นี่
(ในแผนการเดินทางของผมจะมีสรุปค่าใช้จ่ายการเดินทางเป็นตัวเลขอยู่ด้านซ้ายมือ)
3. จองตั๋วโรงแรม
ตอนนี้ผมเริ่มเปิดแผนขึ้นมา แล้วก็กดไปที่ agoda เพื่อจอง สมมติว่า ไปถึงญี่ปุ่นวันที่ 10 กลางคืน จะเที่ยวโตเกียววันที่ 11, 12, 13 และเดินทางย้ายจังหวัดวันที่ 14 ต้องจองกี่คืน คำตอบคือ 4 คืน ดูดีๆนะ
- บางคนไปเห็น เฮ้ยเที่ยวโตเกียว 3 วัน งั้นจอง 3 คืนเลยแล้วกัน แบบนี้ก็ไม่ใช่ เพื่อนผมเข้าใจผิด ทำแบบนี้มาแล้ว
- จองที่ agoda ง่ายๆ เลย check in 10 และออก 14 เดี๋ยวมันก็จะบอกเองว่า 4 คืน
ข้อควรระวัง
ในการจองโรงแรม ควรดูดีๆ ว่า Non-smoking (kin-en) หรือ Smoking (kitsuen) คนญี่ปุ่นชอบสูบบุหรี่ในห้อง ดังนั้นควรดูดีๆ ถ้าจะให้ดีกว่านั้นให้จองโรงแรมที่ห้องส่วนใหญ่ไม่ให้สูบบุหรี่เลยจะดีกว่า เพราะผมเคยอ่านเจอบางคนบอกว่าจองโรงแรมห้องไม่สูบบุหรี่ แต่ดันให้ห้องสูบบุหรี่มา นรกเลยนะนั่น เพราะมันจะเหม็นมาก |
เสร็จแล้วเตรียมรอเวลา และแพคของลุยญี่ปุ่นกัน
พักเบรกก่อนแล้วมาอ่านใหม่ก็ได้นะครับมันยาว
ก่อนวันเดินทาง
อย่าลืมปริ๊นแผนการเที่ยวที่เราได้วางแผนไว้ ใบจองโรงแรมไปด้วยครับ และตั๋วบินไปกลับ เย็บไว้เป็นชุด อย่างเช่นผมไปกับแฟน ผมก็จะมี 2 ชุด แยกกันถือ เผื่อใครได้เข้าห้องเย็นอาจจะได้ใช้งาน แต่วันจริงก็ไม่มีอะไรครับ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น
Day 1. วันเดินทาง 10 มิถุนายน 2560
ของผมเครื่องบินออก 11 โมง 15 นาที ผมก็ไปก่อนตั้งแต่ 9 โมงเลย ที่สนามบินดอนเมืองอาคาร 1 เพราะว่ามันมีอะไรต้องทำเยอะ มากกว่าสายการบินในประเทศที่ออกจะง่ายๆ
ซื้อซิมเล่นเน็ต
ก่อนอื่นไปซื้อ SIM AIS ชื่อว่า Sim2Fly ไปซื้อได้ตรงระหว่างทางเชื่อม อาคาร 1 กับอาคาร 2 เลยครับ ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนไปซื้อ Wifi Pocket ให้เสียเวลา ผมทดสอบที่ญี่ปุ่นแล้วว่า Sim2Fly เหมาะสมที่สุด ถูกสุด และเน็ตก็แรงใช้ได้เลยครับ ราคา 399 บาท 3 GB ใช้ได้ 8 วัน ผมเล่นเยอะมากนะครับ แต่ไม่ค่อยเล่น youtube ใครเล่น youtube ยังไงก็หมด
และผมก็บอกพนักงานว่าจะใช้ต่ออีก 2 วัน มันก็มีโปรเสริมครับ ให้พนักงานเติมเงินเอาไว้เลยอีก 150 บาท ในซิม เดี๋ยวพอเน็ตครบ 8 วัน เราก็กดรหัสที่พนักงานให้มา เพื่อให้มันหักเงิน 130 บาท นี่ล่ะ ประมาณนี้จำราคาไม่ได้ มันจะใช้ได้อีก 1 GB 2 วันนะ เท่านี้ก็อยู่ได้ครบ 10 วันแล้ว ข้อดีคือไม่ต้องพกแบตสำรอง ไม่ต้องพก Wifi Pocket ให้หนัก และเวลาแยกกันเดินกับแฟนก็สามารถใช้ติดต่อกันได้ ไม่เหมือน Wifi Pocket ที่จะเดินแยกกันก็ไม่ได้ หน้าตาซิมเหมือนรูปด้านล่างครับ เอ๊าโฆษณาให้เขาเลย 55
แลกเงินไทยเป็นญี่ปุ่น
แนะนำไปแลกที่ซุ้มไหนก็ได้ แต่ของผมแลกที่ไทยพาณิชย์ ตู้แลกเงิน แลกทุก 10,000 บาท ไทย มันแถมประกันเดินทางด้วย ตั้งแต่ไปจนกลับมา แม้จะประกันไม่ได้ทุนประกันมาก แต่ก็ดีที่ได้ โปรโมชันนี้ แต่ผมว่าโปรนี้น่าจะมีตลอด ไปแลกดู ผมอยู่ 10 วัน ควรแลกไป 40,000 บาท ถึงจะพอ ขั้นต่ำสำหรับ 2 คน ค่ากิน ค่าเดินทาง ไม่รวมค่าของช๊อปปิ้ง ถ้าใครจะช๊อปควรเบิกไปเยอะกว่านี้ (ผมเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งกับแฟนแล้วให้ไปแลก จะได้ๆประกันทั้งคู่)
บัตรเดบิตกดเงินต่างประเทศได้ไหม?
กดได้ครับ แต่เราควรโทรไปแจ้งธนาคารที่ Call Center เช่น บัตรไทยพาณิชย์จะถามเราเลยว่าจะไปวันไหนกลับวันไหน ทำไมถึงต้องแจ้งเพราะว่าสมมติว่าถ้าเราอยู่ๆ เราไปใช้เลยที่ต่างประเทศ ทางธนาคารอาจจะระงับการใช้งานไม่ให้ถอน เพราะเป็นยอดแปลกๆ มาจากต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัยในบัญชีเรา ดังนั้นเราต้องบอกเขาก่อนครับ เพื่อที่เขาจะได้ทราบว่ายอดๆนั้นที่กดถอนมาจากเราเอง
ตู้ไหนสามารถกดเงินที่ญี่ปุ่นได้
ที่ประเทศญี่ปุ่น จะไม่ได้มีตู้ ATM เรียงรายแบบที่ไทยนะครับ ธนาคารบ้านเขาเรากดเงินไม่ได้ แต่มีตู้ที่กดได้คือ 7-11 Bank จะมีตู้ถอนเงินสดของ 7-11 เลย ธนาคาร 7-11 ที่ญี่ปุ่น เป็นตู้สีขาวๆ กดได้มากสุดคราวละ 30,000 เยน หรือประมาณ 10,000 บาท ไทย ค่าธรรมเนียมกด 100 บาท เท่านี้ก็รอดแล้วเนาะ 7-11 มีเยอะมาก และเราก็ไม่ต้องกดเงินไปมากก็ได้เช่นกัน หากกลัวหาย ดูคลิปวิธีใช้ตู้กดเงินที่ 7-11 Bank เลยมีคนทำไว้แล้ว
ขึ้นเครื่องกันเถอะ
- ต่อแถวเพื่อเช็กอิน และโหลดกระเป๋า (หรือต่อแถวเช็กอินและโหลดกระเป๋าที่ขั้นตอนเดียว) ใครไปกับแฟนแนะนำต่อแถวใกล้กันเวลาเข้าไปก็ไปกันสองคนติดกันเลยเพราะเขาจะจับให้นั่งใกล้กัน แบบไม่ต้องจองให้เสียเงินเพิ่ม ทำไมถึงทำแบบนี้ได้ คิดดูถ้าครอบครัวไหนมีเด็ก พนักงานเอาเด็กนั่งห่างจากพ่อแม่ เป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ การโหลดกระเป๋าห้ามเอาแบตสำรองใส่นะครับ เขาไม่อนุญาต
- เข้าไปที่ด่านเขียนใบออกนอกประเทศ สแกนนิ้วมือ
- สแกนกระเป๋า ตรวจของเหลว อย่าเอาของเหลวใหญ่ๆ ใส่กระเป๋า
- ไปรอหน้า Gate รอเครื่องขึ้น
หลังจากขั้นตอนที่ 3 สแกนตรวจกระเป๋าเสร็จ ใครหิวก็ซื้อกินได้นะครับ มีร้านขายมากมาย อันนี้ผมพูดเผื่อไว้สำหรับมือใหม่นะครับที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลย คนเก่าๆ ก็อ่านข้ามๆไปเลย ไม่ต้องสนใจ
ขึ้นเครื่องบิน ฟิ้วววว…
ถึงแล้ว….
เวลาที่นี่ 19:30น นี่ยังเหมือน 6 โมง ครึ่งบ้านเรา พระอาทิตย์เริ่มจะตก ผมไปช่วงเข้าหน้าร้อนของบ้านเขาจะมีฝนตกด้วย วันไหนฝนตกก็หนาว วันฝนไม่ตกแดดออกติดกัน ก็จะเริ่มร้อน กลับมาไทยก็ดำเลยครับ
สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงสนามบินญี่ปุ่น คือ ไปห้องน้ำครับ 55 และก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่นั่นเขาเป็นระเบียบมากและรวดเร็ว อย่าลืมเขียนใบเข้าเมืองสีขาวๆ ที่แจกบนเครื่องบินนะครับ ควรพกปากกาไปด้วยแท่งหนึ่ง เขาจะมีการให้เข้าแถวยาวๆ แถวเดียว
- รอบแรกจะมีคนตรวจเอกสารคร่าวๆ และสแกนนิ้วมือเราด้วย
- ต่อมาก็ไปเข้าคิวที่ตรวจคนเข้าเมือง แยกไปเข้าแถวในแต่ละช่อง และก็ยื่นเอกสารให้เขา แก๊กๆ แป้บเดียว ก็เสร็จครับ เข้าได้เลย ไม่ต้องสแกนนิ้วมืออีก
หลังจากลงจากเครื่องบินก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ เผื่อๆ เวลาไว้ ก็เสร็จ
บัตร Suica
ต่อมาให้เดินไปหาตู้ขายตั๋วอัตโนมัติของ JR ซื้อบัตร Suica ผมซื้อมาคนละใบกับแฟน บัตรนี้มีค่าบัตร 500 Yen และก็เติมเงินลงไปด้วย ถ้าเราเลิกใช้แล้วเราก็สามารถเอาไปคืนได้ครับ โดยเราจะได้ค่าประกันบัตร 500 Yen คืน ถ้าจำไม่ผิดนะ ทำตามคลิปนี้เลยครับประหยัดเวลาดูวิดีโอเอา
- การคืนบัตร กรณีใช้เงินในบัตรหมด เวลาคืนเขาก็จะคืนเงินให้เรา 500 Yen คืนกับพนักงานที่สถานีรถไฟ JR แต่กรณีเหลือเงินในบัตรเหลือ จะถูกหัก 210 Yen เป็นค่าใช้บัตร ถ้าไม่มีเงินเหลือก็ไม่หัก https://matcha-jp.com/th/836
- Suica ใช้อะไรได้บ้าง ก็ใช้กับรถไฟได้ทุกสาย ทั้ง JR และไม่ใช่ JR มันเชื่อมกันหมด ทั่วประเทศ ไม่ใช่ ใช้ได้แต่ที่โตเกียวนะครับ ใช้ได้ทั่วประเทศเลย ใช้ซื้อของ 7-11 หรือทุกที่ที่มีสัญลักษณ์ Suica
สำหรับผมเองไม่คืนครับ เก็บเป็นที่ระลึก และก็อาจจะกลับไปเที่ยวอีก เลยเก็บไว้เลยไม่เป็นไร ไม่กี่บาท
เดินไปขึ้นรถไฟเพื่อที่จะเข้าเมือง โตเกียวกัน ก่อนอื่นแตะบัตร Suica ที่ประตูทางเข้า และไปรอรถไฟจะมีรถไฟผ่านมาครับ ถ้าเป็นรถไฟหรูๆ ที่หันหน้าไปทางเดียว ไม่ค่อยมีคน มาถึง ให้รับรู้ได้เลยว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน มันคือรถไฟ Skyliner นั่นเอง จริงๆแล้ว วิธีขึ้นก็ให้ไปซื้อตั๋ว Liner ก่อนก็ได้ครับแบบ fix ที่กับพนักงาน แต่ตอนที่ผมขึ้นนั้นผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมซื้อบัตร Suica เสร็จผมก็ขึ้นรถไฟไป Skyliner นี่ล่ะ ไม่ได้ไปซ์้อตั๋วก่อน
ระหว่างรอรถก็ถ่ายรูปเล่นกันครับ ไม่ขอแต่งรูปนะครับภาพสดเลย ไม่อาย 55 ขี้เกียจแต่งครับภาพมันเยอะ
แฟนผมไม่รู้ครับว่า ผมมาเขียนรีวิว ไม่แต่งรูปอะไรทั้งนั้น Real Real อย่าไปบอกนะครับ เราเน้นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รูปเริบอะไรไม่ต้องสนใจมาก
ผมขึ้นรถไฟไปปั๊บนั่งเสร็จกับแฟน ก็มีชาวญี่ปุ่นมาบอกว่านี่ที่นั่งเขา เราเลยลุกให้ และไปนั่งที่อื่น สักพักก็จะมีพนักงานเดินมา ขายตั๋วให้กับเรา ขายค่าที่นั่ง Reserve Seat เราก็จ่ายไป พอถึงสถานีปลายทางที่เราจะลงที่ Tokyo เราก็แตะบัตร Suica ที่ทางออก มันก็จะคิดเงินค่าเดินทางกับเราอีก พูดง่ายๆคือนั่ง Liner จะต้องเสียค่าที่นั่ง และเสียค่าเดินทาง
เอาเป็นว่าถ้าจะให้ดีไปซื้อตั๋วมาก่อนดีกว่าครับ ก่อนขึ้น แต่ถ้าใครอยากประหยัดก็รอรถไฟธรรมดาจอดทุกสถานีก็ได้ครับ ก็จะถึงช้าหน่อยแต่ประหยัดไม่ต้องเสียค่าที่นั่ง ทำตามคุณเบียร์ตามคลิปด้านล่างนี้ก็ได้ครับ ผมก็ดูคลิปแกก่อนผมไป
การนั่งรถไฟในญี่ปุ่น บางรถไฟเราไม่ต้องจองที่นั่งก็ได้ครับ มีแบบไม่จอง กับจอง ต่างกันที่จองเราก็นั่งๆไปเลย แต่ถ้าไม่จอง เวลาเรานั่งแล้วมีคนบอกว่าที่นั่งนั่นเป็นที่นั่งเขา เราก็ต้องลุกเปลี่ยนไปนั่งที่อื่น หน้าผมก็จะชานิดๆ ดังนั้นผมก็จองแม่งเลยจบ ต่างกันประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้นล่ะ บ้านเขาเราไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม เอาปลอดภัยไว้ก่อน
เมื่อถึงสถานีปลายทาง ผมก็ออกจากรถไฟขึ้นไปบนสถานี แล้วเราก็เดินลากกระเป๋าต่อไปถึงโรงแรม Hotel Mystays Asakusa และเราก็ยื่นเอกสารจองโรงแรมที่ปริ๊นมาตอนแรกให้ เขาก็จะรู้เองให้กุญแจเรา
ข้อควรทราบโรงแรมในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเช็กอินช้า ประมาณบ่าย 2 ถึงบ่าย 3 และตอนออกเช็กเอ้าเวลา 10 โมง ถึง 11 โมง ช้าสุด ดังนั้น หากเราต้องการเคลื่อนย้ายตัวเองจากจังหวัดหนึ่งไปยังจังหวัดหนึ่งแล้ว เราควรทำตอนเที่ยงวัน ตั้งแต่ 11 โมง จนถึงบ่าย 2 โมง จะมีเวลา 3 ชั่วโมงนั่นเอง กรณีที่เราไปถึงโรงแรมอีกที่ก่อน ห้องยังไม่พร้อม ก็ฝากของไว้ แล้วก็ไปเดินเล่นก่อนก็ได้
ตอนเช็กเอ้า แค่ยื่นกุญแจให้กับพนักงานก็จบเลย ผมก็งงทำไมไม่ไปเช็กห้อง เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร 55 ไม่เหมือนบ้านเราต้องเช็กก่อน ในโรงแรมที่ญี่ปุ่นจะไม่มีน้ำอะไรขายในตู้เย็นเลยไม่เช็กก็ได้ |
เดินไปเข้าห้องกัน รูปอาจจะสวยบ้างไม่สวยบ้างนะครับ ไม่ได้เรียนถ่ายรูปมา 55
ห้องก็เป็นแบบนี้ เล็กๆ แต่มีครบครัน ห้องน้ำก็เล็ก ไม่มีคนมาทำความสะอาดให้ทุกเช้าเหมือนที่ไทยนะครับ
เมื่อถึงที่พักมันดึกผมก็เลยออกไปหาอะไรกินกับแฟนเพราะเดินทางมาทั้งวัน ไม่ได้ทานอะไรมากมายเลย พอดีหน้าโรงแรมมีร้านราเมงเราก็ไปทานซักหน่อย
ในร้านจะมีเชฟอยู่คนเดียว เวลาเราซื้อเราต้องดูเมนูอยู่บนฝาผนัง มันจะมีรูปอาหารและหมายเลขติดอยู่ แล้วก็ไปซื้อที่เครื่องขายโดยหยอดเหรียญลงไปแล้วกดหมายเลขอาหารดูจากฝาผนัง ก็จะมีตั๋วอาหารออกมาให้ บางร้านมีเครื่องกดตั๋วซื้ออาหารเป็ฯคอมพิวเตอร์ มีภาษาไทยด้วยนะดีมากๆเลย
หมดวันแรกแล้ว… ไปนอนพักกันเถอะ
Day 2. เที่ยวญี่ปุ่นโตเกียว
- Tokyo – Harajuku – วัดเมจิ
- Tokyo – Harajuku – Takeshita Street
- Tokyo – Shinjuku
ตอนนี้ของวันนี้ผมสะดุ้งตื่นมาตอนเช้าด้วยความงง เฮ้ย ทำไม 8 โมงแล้วหรอวะ ตื่นสายได้ไง พอดูนาฬิกา ปรากฎว่าตี 4 เลยงงว่า เฮ้ยพระอาทิตย์ขึ้นไวแท้ งงกับเวลา ผมไม่รู้ว่าหน้าอื่นๆ เหมือนกันไหม แต่ไม่เหมือนกับไทยแน่นอน ดังนั้น ถ้าใครมาเที่ยวญี่ปุ่นควรนอนให้เร็วครับ เพราะกลางคืนมีน้อย แฟนผมว่า แดนพระอาทิตย์อุทัยไง อันนี้ผมไม่รู้มันเกี่ยวหรือเปล่า 55
ในวันนี้เราวางแผนที่จะไปเที่ยววัด และย่านขายสินค้าในเขตโตเกียว ตามแผนที่ได้วางไว้ แต่ในความเป็นจริงไปได้แค่ 2 ย่านก็หมดวันแล้ว
หลังจากแต่งตัวเสร็จก็ออกจากโรงแรม โดยตอนแรกแผนวางไว้จะไปเร็วๆ ตั้งแต่เช้า แต่สุดท้ายออกจากโรงแรม 10 โมง ก็จะบอกว่าไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้หรอก ออกมาหน้าโรงแรมเดินมาได้หน่อยก็เจอน้องหมา นอนอยู่ในบ้าน เรามองมันอยู่ข้างนอก ข้างๆ ที่หมานอนอยู่มันเป็นร้านตู้ขายน้ำเต็มไปหมด มันคงเฝ้าร้าน
เดินต่อไปยังรถไฟใต้ดิน เพื่อที่จะไปวัด Meiji ที่ย่าน Harajuku
ส่วนรอบรถไฟก็อาศัยดู google maps เอา วิธีการใช้งานก็เปิด google maps ขึ้นมาแล้วก็พิมพ์ไปว่าจะไปไหน มันก็จะขึ้นรอบรถไฟให้เลย เวลาค่อนข้างเป๊ะมากๆ หน้าที่เราก็แค่นำตัวเองไปให้ถึงสถานีรถไฟให้ได้ เมื่อเข้าไปก็แตะบัตร suica พอถึงสถานีเป้าหมายก็แตะบัตร suica อีกรอบมันก็จะตัดเงินเรา และเปิดทางให้เราออกมา (บัตร suica นี่ ถ้าหมดก็เติมเงินนะ ตู้เติมเงินอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้า จะมีเขียนบอกอยู่ว่ารับบัตร suica ไหม
- ข้อควรระวัง ควรเติมเงินไปให้มากๆ หน่อย เพราะบางสถานีมันจะไม่มีตู้เติมเงินบัตร suica ผมเคยนั่งผิดสถานีแล้วออกไปไม่ได้ เพราะเงินในบัตรหมด เซงมากๆ ต้องนั่งย้อนกลับไปหาสถานีใหญ่ๆ แล้วเติมเงิน
ยืนรอรถไฟซะหน่อย
Harajuku
ถึงแล้ววว ภาพนี้เป็นบริเวณทางเข้าวัดเมจิ
ถ่ายรูปรวมกันหน่อยก่อนแยกย้ายเดิน
เดินไปจนถึง วัดเมจิ
ไปซื้อแผ่นไม้มาเขียน 500 เยน ด้านหน้าทางเข้า เพื่อขอพรกันอ แล้วก็ไปห้อยไว้ตรงนี้
ผมไปแบบงงๆ นะครับ ภาษาญี่ปุ่นรู้นิดเดียว เดาๆเอา ไม่รู้เรียกว่าอะไรก็เดาๆ เดินไปตามๆ เขาเรื่อยๆ ความสุขเกิดจากสัมผัสทั้ง 5 ไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อก็ได้ครับ 555
ต่อมาออกจากวัดเมจิ ผมก็ไปเดิน Takeshita Street เดินไปได้ครับจากวัดใกล้ๆ กันเลย ถนนคนเดินบ้านเขา
เห็นว่ามีเครปอร่อยด้วยนะ นี่ไงเขาขาย มีตัวอย่างให้ดูอยู่ในตู้
เลือกๆ มาเอารถชาเขียว กับอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ มันเยอะมาก
หลังจากนั้นผมก็ไปช๊อปปิ้งกันต่อหาซื้อรองเท้ากันจนค่ำเลย
Shinjuku
และก็ย้ายที่ไปที่ย่าน Shinjuku เพื่อหาอะไรกินและเดินเที่ยวโตเกียวยามคำคืน วันแรกนี่เท้าบวมไปเลย
วันนี้ขอพอแค่นี้นะครับเพราะมันจะมีแต่ภาพคนเยอะแยะละลานตา 55
Day 3. เที่ยว Disney Sea
- Tokyo – Disney Sea
จริงๆแล้ววันนี้จะต้องไปเที่ยวในบริเวณโตเกียวกันต่อ แต่ว่าดูพยากรณ์อากาศว่าพรุ่งนี้ฝนจะตก (ค้นจาก google ได้เลย accuweather) เราเลยต้องเปลี่ยนแผนว่าไปเที่ยวสวนสนุกวันนี้แทน (เชื่อไหมว่าวันต่อไปฝนตกจริงๆ ดีที่เปลี่ยนวัน) และวันนี้ก็ออกประมาณ 10 โมงเหมือนเดิม นั่งรถไฟจากสถานีใกล้ที่สุดไปลงสถานี Maihama ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึง อันนี้แล้วแต่ใครพักส่วนไหน เวลาไม่เท่ากันนะครับ
เมื่อถึงแล้ว ผมก็เดินไปอีกหน่อย เพื่อไปขึ้นรถไฟ Disney Resort Line รูปสถานีดูจากภาพด้านล่างนะ อีกต่อเพื่อไปยัง Disney Sea
ยืนซื้อตั๋วหน่อย ตั๋วจะมี 2 แบบ คือแบบธรรมดาไป-กลับ มันจะถูกกว่าแบบตั๋ววันหน่อย แต่ผมดันไปเอาตั๋ววัน ุ650 เยน แฟนผมมันกดครับ ถ้าคุณจะซื้อก็เอาตั๋วไปกลับนะครับแค่นี้พอ ถูกกว่าประมาณ 100 เยน ใครมันจะบ้านั่งรถไฟไปมาถามหน่อย พื้นที่ตั้งกว้าง
ผมยืนงงๆ อยู่นาน จนเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยแนะนำครับ พูดอังกฤษได้
ได้ตั๋วสวย น่าสะสมครับ น่าเก็บเป็นที่ระลึก ลืมถ่ายเอาไว้เลยหยิบกล้องมาถ่ายเดี๋ยวนี้ให้ดูเลยหน้าคอมนี้ล่ะ
ส่วนการเข้าผมได้จองตั๋วเข้าจาก Agent เมืองไทยไปนะครับ ปริ๊นกระดาษ A4 ไป จะใช้เป็นตั๋วเข้า และเข้าเครื่องเล่นต่างๆ ด้วย
เมื่อเข้ามาได้แล้ว ผมก็พาแฟนถ่ายรูปไปตามประสา นุ่นนี่นั่น เฮ้ยไม่ใช่สิแฟนพาผมถ่ายรูปครับ ผมไม่ชอบถ่ายรูปขนาดนั้น 55 สวยดีครับ สำหรับคนชอบถ่ายรูปแนะนำให้ไป
ซื้อตั๋วมาที่เดียวได้ไปหลากหลายมาก เหมือนได้ไปหลายประเทศ
เครื่องเล่นที่นี่อยากเล่นอะไรก็เล่นได้เลยครับฟรี แต่คิวจะยาวมาก ส่วนใหญ่พวกผมไม่ค่อยชอบต่อคิวกัน เลยเดินถ่ายรูปเล่นดีกว่า ส่วนใครอยากเล่น วิธีการเล่น ก็ให้เข้าไปต่อคิวเลยแบบที่หนึ่ง หรือจะไปกด Fast Pass บัตรผ่านพิเศษ โดยเอา A4 ที่ปริ๊นมาไปสแกนบาร์โค้ดที่หน้าเครื่อง Fast Pass เพื่อรับบัตร บัตรนี้เหมือนบัตรจองคิว ทำให้เราไม่ต้องไปต่อคิว มันจะบอกว่าให้เรามาเข้าเมื่อเวลาเท่าไร มีป้ายเวลาบอกหน้าเครื่องเล่น ว่ารอบต่อไปกี่โมง เข้าสู่ทางลัดได้เลย แต่เมื่อกดแล้ว จะกดครั้งต่อไปได้อีก 1 ชั่วโมง ครึ่ง ประมาณนี้ล่ะ สะดวกสำหรับคนเล่นไม่เยอะ ยังไงก็พอ แต่ถ้าคนเล่นเยอะๆ มันก็ต้องรออีกชั่วโมงครึ่ง ถ้าเร่งๆ ก็ไปยืนรอก็ได้ สำหรับวันที่ผมมานั้นแดดก็แรงดีนะ ยืนไม่ไหว 55
เดินไปเดินมาก็เลยมานั่งถ่ายรูปเล่นที่ใจกลางภูเขาไฟของ Disney Sea มันยอดมาก มาถึงตอนที่มีไฟพุ่งพอดีที่ปล่อง ปรกติ ไม่ได้มีตลอด ที่ฐานนี้จะเป็นระไฟความเร็วสูงรอบปล่องภูเขาไฟ ผมได้ยินชื่อแล้วก็ไม่เล่นแน่นอน กลัวอะไรเร็วๆ เสี่ยงต่อความตาย บางคนอาจจะบอกว่าคนเราเกิดมาก็ตาย ใช่ครับ “แต่กูไม่อยากตายตอนนี้ ไม่อยากตายแบบนี้” นี่คือสิ่งที่คิด 55555
หลังจากนั้นก็เดินเล่น ไปด้านในปล่องภูเขาไฟ ผมก็สงสัยทำไมมีคนต่อคิวเยอะจัง มืดๆ หรือจะเป็นบ้านผีสิงแน่ๆ เลย แฟนผมบอกว่าแบบนี้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร งงๆ อยู่ และอยู่ๆ ก็มีคนญี่ปุ่นครอบครัวใหญ่เดินมายื่นตั๋วให้ บอกว่า I give you เราก็งงว่าให้ทำไม แต่มารยาทครับ เขาให้เราก็ต้องรับ ผมขี้เกรงใจมาก ก็ยังงงๆ แต่ก็ยังคิดว่าบ้านผีสิง เลยลืมไปว่าไอ้ปล่องนี้มันเป็นรถไฟเหาะ สักพัก ได้ยินเสียงครืนๆ เลยจับประเด็นได้ แต่มันก้าวมาแล้วถอยไม่ได้ คนญี่ปุ่นเขาก็อุตส่าห์ให้ด้วย
ภาพไม่ได้ถ่ายด้านในมืดมาก
จริงๆ แล้วลูกเขาสองคนไม่เล่น เลยไม่รู้จะให้ใคร ก็เลยเอามาให้เรา ผมได้รู้ความจริงหลังจากเขาออกมาพร้อมกับคนอีก 2 คนที่เพิ่มเข้ามา ผมไม่เห็น 2 คนนี้ในตอนแรก คิดในใจ แม่งเอ้ย มาให้กูทำไมว้าา
เดินออกมาฝนทำท่าจะตกมืดครึ้มเลย
นั่งพักเหนื่อยก่อนเดินทางกลับกัน
วันนี้เหนื่อยมากเลยครับ เพราะ Disney Sea มันใหญ่และก็สวย แต่ถ้าจะให้เทียบกับสวนสนุกที่เกาหลีอย่าง Everland ผมว่า Everland ใหญ่กว่ามากและสวยกว่ามาก ตั้งอยู่บนภูเขา สวยสุดๆ เลยครับ
หลังจากนั้นเราก็กลับที่พัก แต่ก่อนกลับเราแวะไปหาอะไรทานกันก่อน โดยวันนี้เย็นก็ได้มานั่งกินข้าวหน้าปลาไหล ครั้งแรกในชีวิต แฟนผมตอนแรกตื่นเต้นมากเพราะว่ามันหอม บวกกับหิว พอได้รู้ว่ามันคือข้าวหน้าปลาไหล มันแทบไม่กินเลยครับ 555 แต่ผมว่ามันก็อร่อยดีนะ ลองดูครับ อย่ายึดติดว่ามันคือปลาที่คล้ายๆ งู
Day 4. วันสุดท้ายในโตเกียว ชิวๆ
- Tokyo Asakusa Sensou-ji วัดอาซากุสะ
- Tokyo Sky Tree
- Toky Ueno เดินช๊อปปิ้ง
เนื่องจากวันนี้เราค่อนข้างเหนื่อย เพราะล้าจากการเดินวันละ 20000-30000 ก้าวทุกวัน ยังไม่ชิน แนะนำให้พก Counter Pain ไปด้วยนะครับ ผมจะนวดขาก่อนนอนทุกวัน พอตื่นเช้ามาก็สุดยอดเท้าเบา บางวันไม่ได้ทา ตื่นเช้ามาไม่ค่อยสดชื่นที่ขาเลย ผมก็ออกเกือบ 11 โมง เดินไปวัด Asakusa เพราะไม่ได้ไกลกันมาก ขี้เกียจลงใต้ดินด้วยล่ะ
Asakusa
เมื่อไปถึงเราก็ไปหาอะไรทานกันก่อนตอนเที่ยงๆ และก็เข้ามาบริเวณหน้าวัด
เดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอวัดเอง
เข้ามาดูความสวยงามและไหว้พระซะหน่อย
และเราก็ออกมาเดินในบริเวณวัด ด้านนอกดูบ้าง
เสร็จจากวัดเราก็เดินออกมารอบนอกวัดอีกครั้ง เพื่อสำรวจว่าขายอะไรบ้าง มันใหญ่อยู่นะครับ
สวนแฟนผมเดินกดมือถือ ขายของ รับออเดอร์ลูกค้าอยู่ ใครจะทักไปซื้อทักไปได้นะครับ นางขายแบตสำรอง จะไปต่างประเทศ กลัวแบตมือถือไม่พอ แนะนำเลย แม่ค้าน่ารัก ig ร้าน powerbank_telehub งานขายก็มา 55
ดูแม่ค้าตั้งใจทำงานมากครับ พามาเที่ยวก็ทำงานตลอดต้องปล่อยให้นางกดมือถือไปเรื่อยๆ และเรานำทาง เหมือนหมานำทางเลยครับ 55
ตอนนี้ฝนก็เป็นละออง เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวตก หนาวมากครับ แต่ไม่ได้พกเสื้อกันหนาวมา นึกว่าเหมือนหน้าฝนบ้านเรา ฝนก็ฝน ไม่หนาว แต่บ้านเขาหนาวเนาะ เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยเนาะ
สักพักหนึ่งผมก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อไป Tokyo Sky Tree บางคนอาจจะบอกว่าไกล แต่วันนี้ตารางไม่ค่อยแน่นครับ เลยอยากเดินเล่นๆไปเรื่อยๆ ชมเมือง มีฝรั่งเขาก็เดินเอาเหมือนกันนะ ภาพด้านล่างเป็นแถวๆ สะพานเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง
- ลืมบอกไปว่า ใครไม่มีร่มซื้อเอาได้ครับ 300-500 Yen นี่ล่ะ ถูกมากถ้าเทียบกับอย่างอื่น และผมก็ทำหายไปแล้ว ระหว่างเดินทาง ซื้อได้ที่ 7-11
Tokyo Sky Tree
เย้เดินทางถึงแล้ว
จ่ายค่าขึ้นมาด้วย ด้านล่างจะมี counter ให้ซื้อตั๋ว ก่อนขึ้นลิฟท์ สำรวจด้วยว่าไม่ลืมอะไร เพราะจะกลับลงมาไม่ได้ ถ้าลงมาก็เสียเงินฟรี เพราะมันขึ้นลงได้แค่ครั้งเดียว
เมื่อถึงด้านบนแล้ว มองลงมาสูงมากๆ มองผ่านกระจกนะครับ มีเมฆลอยไปมาเลย วันนี้ฝนตกเลยมีเมฆ ถ้าวันฟ้าใสคงสวยกว่านี้ แต่คนก็คงจะเยอะกว่านี้ด้วยเช่นกัน
บนนี้จะมีซุ้มให้ถ่ายรูปด้วย บางซุ้มฟรี บางซุ้มไม่ฟรี และก็มีคอมพิวเตอร์ให้เล่นแบบนี้
แทนที่เราจะใช้กล้องส่องดู ที่หน้าจอจะให้เราจิ้มได้ พร้อมกัน 3 จุดเลย เผื่อมีนักท่องเที่ยวหลายคน จิ้มตรงไหน ก็จะมีชื่อของสถานที่ตรงนั้นบอกมา และมันก็จะซุมไปให้ดูว่ามีอะไร เป็นภาพที่ถ่ายความละเอียดสูงเอาไว้ ให้เราเล่น
เราอยู่ที่โตเกียว Sky Tree ค่อนข้างหลายชั่วโมง เพราะอยู่ให้คุ้มเงิน จนคนเขาออกเกือบหมด 55 ก็เกือบจะมืดแล้วประมาณ 6 โมงเย็น พอดีฝนตกด้วย
เสร็จแล้วเราก็นั่งรถไฟต่อเดียวไปถึงย่าน Ueno
Ueno
ในย่านนี้ก็ไม่มีอะไรมาก สำหรับใครที่ชอบความวุ่นวาย แนะนำมาย่านนี้เลยครับ มีของขายเยอะดี ราคาถูก ถูกเขานะครับ ไม่ใช่ถูกเรา เนื่องจากร้านค้าแถวนี้คนไทยนิยมมาเที่ยวบ่อย คงจะมาตามรีวิว ร้านไหนมีคนไทยรีวิว ก็จะตามๆ กันมาถือว่าโชคดีนะครับ อย่างร้านที่ผมเข้าไปซื้อนี่มีภาษาไทยประกาศด้วย เจ๋งดี เขียนไทยก็มี ด้านล่างนี้เพื่อนพามาครับ กำลังยืนเลือกซื้อ Kitkat อยู่เลย
สำหรับการมาย่าน Ueno ควรมาให้เร็วหน่อยนะ เพราะที่โตเกียวร้านค้าอะไรชอบจะปิดๆ เวลา 2 ทุ่ม เขาก็กลับบ้านกันแล้ว
กินข้าวละครับ ที่ญี่ปุ่น ไม่ค่อยมีผัก มีผลไม้แบบไทยนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเส้น เป็นแป้ง หรืออะไรดิบๆ 55 ราเมงนี่เยอะมาก กินจนเอียน มื้อๆหนึ่ง เตรียมใจได้เลย ถ้าเดินเข้าร้านอาหารจะเสียประมาณ 2000 Yen ต่อสองคน ส่วนร้านอาหารชอบอยู่ในหลืบ หรือต้องเดินขึ้นบันได เดินลงไปใต้ดิน ลึกลับ แต่พอเดินไปถึงก็จะพบกับความสว่างและเป็นแหล่งรวมคน เยอะแยะมากมาย
ถ้าร้านอาหารแบบนี้เปิดที่ไทย อาจจะเจ้งได้ครับ เพราะคนไทยไม่นิยมเดินลงรู ไปกินอาหาร 55 เพราะบ้านเขาคนเยอะจริงๆ ที่แพง บางที่จะมีเด็กในร้านยืนโปรโมตอยู่หน้าทางเดินเข้าร้านซึ่งเป็นช่องเล็กๆ ก็พอครับ
กินเสร็จเราเหนื่อยมากมุ่งหน้ากลับที่พักเลย
Day5 เดินทางไป Yokohama
- Check Out โรงแรมที่โตเกียว Mystays Asakusa
- Check In โรมแรม Yokohama พัก 2 คืน
- เดินเที่ยวละแวกนั้น
วันนี้เราต้องเก็บของเช็กเอ้า ออกจากโรงแรม 10 โมงเช้า สายสุดล่ะ และช่วงนี้ล่ะ เราต้องเดินทางไปโยโกฮาม่า Yokohama เป็นเมืองที่เงียบสงบ ใครที่ชอบไม่วุ่นวาย สงบ วิว สวยแนะนำที่นี่ครับ ผมกับแฟนไม่ชอบที่มันพลุกพล่านเพราะเราชอบดูวิวธรรมชาติมากกว่าครับ
การเดินทางก็ใช้รถไฟเลย บัตร Suica เหมือนเดิม ใช้ได้ทุกที่ที่มีรถไฟเลยล่ะทั่วประเทศ ทุกการเดินทางผมใช้ google maps นะครับเพื่อวางเส้นทางเฉพาะหน้าทุกครั้งในการเดินทางร่วมด้วย หากว่าไม่ทำตามแผน ส่วนใหญ่จะผิดแผนเรื่องตารางเวลาการเดินทางที่ทำไว้
ผมขึ้นจาก Kuramae station เพราะโรงแรม Mystays Asakusa อยู่ใกล้สถานีนี้ นั่งรถไฟต่อไปลงที่สถานี Bashamichi ที่โยโกฮาม่าคนไม่ค่อยเยอะ และใกล้โรงแรมใหม่ Hotel Edit Yokohama
เมื่อเดินขึ้นมาด้านบนสถานี พบความสวยงามขอบรอบๆมากๆ และคนไม่พลุกพล่าน ข้อควรรู้เกี่ยวกับโยโกฮาม่า คนพูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะครับ ผมพอรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างบางคำ เลยพูดๆ เอา คำพื้นฐาน
โรงแรมที่ผมพักชื่อว่า โรงแรม Hotel Edit เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหม่สวย ไม่มีกลิ่นบุหรี่ คืนละประมาณ 2100 บาท เท่านั้น ห้องกว้างกว่าโรงแรมที่พักที่โตเกียวอีก
เมื่อเก็บของเรียบร้อยเราได้ไปทานข้าว แล้วก็เดินต่อไปยัง Land Mark ของ Yokohama คือ Cosmo World ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กับห้างชื่อว่า World Porters ภาพด้านล่างมองจาก สะพาน Bankoku ใกล้ๆ กับ ห้าง World Portersไปก็จะเห็นแบบนี้
ภาพถัดมานี้เดินอยู่ใกล้ๆ World Porter เลย เป็นสวนสาธารณะ ถ้าดูจากรูปด้านบนก็คงใกล้ๆ สะพานสีขาวๆลิบๆ ตา
เดินต่อไปยังสวนสาธารณะหลังพิพิธภันฑ์ Cup Noodle Museum เพื่อชมทะเล ระหว่างเดินทางไปจะต้องผ่าน ชิงช้าสวรรค์แต่เรายังไม่ได้ขึ้นนะครับกะว่าจะขึ้นตอนดึกๆ ทริปนี้เพื่อเน้นชมวิวและถ่ายภาพกัน ไม่ได้เน้นช๊อปปิ้งนะครับ
เสร็จแล้วก็มาชมพิพิธภัณฑ์ Cup Noodles แต่เสียดายที่มันปิดแล้ว ใครจะมาก็เร็วๆ หน่อยนะครับ พวกเรามัวถ่ายรูปกัน เลยได้ถ่ายแค่ด้านนอก
กำลังจ้องยืนรอที่จะถ่ายกับมัน ถึงคิวแล้วตอนนี้
ไปต่อกันที่ท่าเรือ Osanbashi Pier หรือ Yokohama Intl Passenger Terminal การออกแบบจะทำหลังคาเป็นเหมือนหลังปลาวาฬ จุดประสงค์เพื่อเป็นสวนสาธารณะ นับได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สำคัญของเมือง Yokohama เลยครับ ตอนผมไป ยังเจอคนหลากหลายชาติ รวมถึงกลุ่มคนไทยด้วยครับ แต่ไม่มาก
เราอยู่ที่นี่กันนานมากจนค่ำเลย อากาศดี ค่ำนี่คือ 2 ทุ่มนะครับ เป็นเรื่องที่น่าแปลก 18:00น พระอาทิตย์ยังทำมุม 30 กับพื้น แล้วก็ไม่ตกสักที พอมาทุ่มนึงปั๊บเหมือนมันรีบตกหายไปเลย ไม่ใช่ค่อยๆ ตกนะเหมือนบ้านเรา ประมาณ 20:00น ถึงจะมืดสนิท
เมื่อค่ำแล้วเป็นแบบนี้ จะเห็นชิงช้าสวรรค์ Yokohama Cosmoworld ด้วย เนื่องจากกว่าเราจะเดินไปถึง และวันนี้อยากไปหาอะไรทานและพักผ่อน เดินทางทั้งวันแล้ว ก็เลยยังไม่ได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์
แวะกลับมาใกล้ๆชิงช้าสวรรค์นั่นล่ะครับ ข้ามสะพานไปอีกฝั่ง เรียกว่า Queen’s Square เพื่อไปลอง KFC ของ ญี่ปุ่น ไม่มีน้ำจิ้มให้นะครับ แต่ละที่ KFC จะไม่เหมือนกัน ที่นี่มี KFC Chizza ด้วยล่ะ ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศผมจะไปลอง KFC ของแต่ละที่ด้วย
วันนี้ก็ค่ำแล้วเสร็จก็กลับไปพักผ่อนกัน อ้อลืมบอกไปการเที่ยวโยโกฮาม่าเราเน้นเดินเอาครับ เพราะเมืองมันสวยอยู่แล้ว
Day 6. วันสุดท้ายใน Yokohama
- Yamashita Park
- Harbor View Park
สำหรับใครที่จะมาเที่ยว Yokohama นั้น จริงๆ มันมีที่เที่ยวหลายที่อยู่ แต่มันอยู่ห่างกันมากๆๆ บางทีนะ พวกวัดสวยๆ เราเลยต้องตัดทิ้ง ชีวิตส่วนใหญ่ในเมืองนี้ ผมกับแฟนก็มักจะเดินชมเมืองซะมากกว่า ไม่ใช่เมืองกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว แต่เรามาชมวิถีชีวิตจริงๆ ของคนโยโกฮาม่ากัน เป็นการเที่ยวในสถานที่ๆไม่ได้จัดฉากไว้
เช้านี้เรากลับมาที่ตึก Queen’s square อีกครั้ง เหมือนเป็นที่ทำงานของคนญี่ปุ่นเลย
มองไปก็เห็น Cosmoworld เพราะมันอยู่ใกล้ๆ กันแต่คนละฝั่งเท่านั้นเอง
เที่ยงนี้เราแวะกินข้าวที่ World Porters ที่ศูนย์อาหารของห้างนั่นเอง แล้วก็ไปต่อยังสวนสาธารณะ Yamashita Park ระหว่างทางเดินไปก็ชมเมืองเขาไป เป็นระเบียบเรียบร้อย และรถไม่ติดด้วย คนไม่พลุกพล่าน คงทำงานกันอยู่
ถึงแล้วสวนสาธารณะ ถ่ายวิวทะเล
น่าแปลกว่าวันนี้ร้อนนะ ผมว่าร้อน แต่คนญี่ปุ่นดันมานั่งตากแดดกันร้อนๆ แถมมีคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้น หญิงนั่งตักชาย และดูดดื่มอย่างน่าอิจฉากันสองคน 55 กลางแดดเปรี้ยงๆ
เดินไปถ่ายรูปเรือใกล้ๆ เป็น landmark ของที่แห่งนี้ เรือไม่แล่นแล้วนะครับ จอดทิ้งไว้เฉยๆ เป็นวิวของสวน
เดินจนสุดสวนมาถ่ายรูปวิวอีกครั้ง แดดโคตรจ้า
ต่อมาเราได้ย้ายไปยังอีกสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า Harbor View Park (Minato-no-Mieru Oka Koen) จุดเด่นของมันก็คือ มันอยู่บนภูเขาเราต้องเดินๆขึ้นไปเรื่อยๆ สวยดี เจอทางเข้าล่ะเดินขึ้นบันไดไปเลยสูงอยู่นะ
ต้นไม้เยอะมาก ใครชอบธรรมชาติ ตามมาได้เลยครับ
มาถึงสวนดอกไม้แล้ว ภาพนี้สังเกตเงาครับ ตลกดี
เดินไปจนสุดเห็นบ้าน
เดินไปต่อจนสุดสวน ด้านบน จะมีสะพาน
ชมวิวรอบสุดท้ายก่อนที่จะลงจากเขา
ระหว่างทางกลับยังไงก็ต้องผ่านท่าเรืออีกที ที่ไปเมื่อวานเลยแวะอีกสักหน่อย เพราะอากาศมันดีจริงๆ ชอบที่นี่มากที่สุด
ระหว่างทางกลับต้องผ่านทุ่งหญ้า
และสะพานเหล็ก ข้ามไปก็จะเจอตึกแดงอยู่ทางขวา เป็นแหล่งพักผ่อนและมีร้านอาหารอยู่มากมายในตึก ด้านนอกจะเป็นอู่ต่อเรือเก่ามองแล้วจะเก่าๆ เข้ากับบรรยากาศ แต่ด้านในนี่ห้างชัดๆ
Day 7. ออกเดินทางไปที่ Fuji San / เที่ยวญี่ปุ่น fuji
- Check out จาก Hotel Edit Yokohama 10 โมงเช้า
- Check in ที่โรงแรม Kawaguchiko Business & Resort SAWA บ่าย 3 พัก 1 คืน
- เดินเที่ยวรอบๆ ฟูจิ
วันนี้เราก็รีบเก็บของออกจากเมืองนี้ บอกเลยว่าเสียใจ อยากอยู่ต่อมากๆ แต่เราต้องเดินทางไปจุดหมายต่อไป คือภูเขาไฟฟูจิ ไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง วิธีการเดินทางก็เหมือนเดิม นั่งรถไฟ ใช้บัตร Suica บัตรอเนกประสงค์ ใช้ได้ทุกสถานีรถไฟทั่วประเทศ อย่าลืมเติมเงินเข้าไปมากๆ ก็พอ วิธีการก็ใช้ google map ค้นว่า Kawakuchiko Station เป็นสถานีรถไฟปลายทาง เรื่องเวลาผมก็ไม่ได้เป๊ะๆ ขอแค่รู้ว่าจะไปเปลี่ยนรถไฟที่สถานีไหนก็พอ พอถึงสถานีนั้นก็ค้น google ใหม่อีกรอบ มันก็จะแนะนำเรามาเอง
ระหว่างรอรถไฟ
รถไฟค่อนข้างหลายต่อนะครับ ใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง 4 ต่อ แนะนำพาแฟนผู้ชายไป ผู้ชายจะดูแผนที่เก่งกว่าผู้หญิงครับ มันอยู่ในสายเลือด ถ้าผู้หญิงนำทางนี่ อาจจะไม่ถึงก็ได้ครับ 55
นั่งมาตั้งไกล จนก่อนจะมาถึงภูเขาไฟฟูจิ Transfer ต่อสุดท้ายถ้าตามแผนที่ด้านบนคือสีน้ำเงิน จะต้องไปกับรถหวานเย็นแสนน่ารักครับ สถานีที่เราเปลี่ยนรถครั้งสุดท้ายต้นทางชื่อว่าสถานี Otsuki ครับ
หลังจากมาถึงสถานี Kawaguchiko ก็เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย ว่ากันว่า ถ้าใครโชคไม่ดี มาก็จะไม่เห็นฟูจิ เมฆจะบัง มันสูงมากๆ ทะลุเมฆไปเลย แวบแรกที่เห็นนึกว่าภาพวาด ไม่เคยเห็นภูเขาที่ใหญ่มากขนาดนี้
หลังจากนั้นเราก็เดินออกจากสถานี ไปเรื่อยๆ ตามทางประมาณ 1 กิโลเมตร ชมบรรยากาศไปเรื่อยๆระหว่างทางไปโรงแรม
เมื่อถึง โรงแรม Kawaguchiko Business Resort Sawa เป็นโรงแรมที่เงียบจริงๆ หรือเรามาตอนช่วง Low Season กันนะ แต่ไม่เป็นไร ใครจะมาฟูจิ อย่ามาตอนกลางมิถุนายน เพราะจะยังมีฝน และกำลังจะเข้าหน้าร้อน เสี่ยงต่อการที่ไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ความชื้นมาก เมฆก็มากตามไปด้วย มาฤดูที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
ที่พักของผมจะกว้างขึ้นเรื่อยๆนะครับ 55 ห้องนี้กว้างพอๆ กับห้องพักที่ไทยเลย ตอนผมค้นหาโรงแรมนี้ ผมก็สงสัยโรงแรมมันตั้งแบบไหน มองไม่เห็นภาพ แล้วเราจะเห็นฟูจิไหมจากห้องนอนเรา สรุปดังนี้ครับ ดูภาพด้านล่าง
ดังนั้นถ้าใครจะมาพักที่โรงแรม Kawaguchiko Business & Resort SAWA แห่งนี้วิวจะเป็นแบบนี้ครับ แต่ผมก็โอเคนะ เดินไปดูหน้าโรงแรมก็ได้วะ 555 แต่เดี๋ยวก่อนเรามีที่ดูฟูจิซังสวยกว่านี้อีก และที่โรงแรมแห่งนี้ระหว่างทางมีร้านสะดวกซื้อมากมาย ไม่ต้องห่วงว่าจะหาอะไรทานยาก ปลอดภัย หลังจากเก็บของเสร็จ ทานข้าวในห้องเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะ
แวะขึ้นกระเช้า ซื้อตั๋วด้านหน้าเลยที่ Mt.Kachi Ropeway อยู่ข้างๆ ทะเลสาบ เพื่อขึ้นเขาไปชมฟูจิ แบบชัดๆ คนละ 800 เยน ใครมาถึงนี่ไม่จำเป็นต้องไปซื้อแพคเกจทัวขึ้นรถฟรี + ropeway อะไรนี่นะครับที่สถานีรถไฟคาวากูจิโกะตอนมาถึง คิดราคาประมาณ 2xxx เยน ต่อคนนี่ล่ะจำราคาเป๊ะๆ ไม่ได้ใช้ ไม่น่าจะคุ้มสักเท่าไร จ่ายแยกประหยัดกว่า เพราะเรามาถึงก็เย็นแล้ว รถก็ไม่ได้ผ่านบ่อยขนาดนั้น เดินเอาก็สนุกดี อากาศดีด้วยครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับความชอบหรือความจำเป็นของแต่ละคนละกันครับ
เมื่อขึ้นไปจนสุดแล้ว ก็ได้ถ่ายภาพฟูจิแบบสมใจ การขึ้น ropeway นี่ต้องมาเร็วๆ หน่อยนะครับ การซื้อตั๋วแบบขึ้นและลง เราจะต้องลงตามเวลาเขาด้วย เขาปิด 17:00น ถ้าจำไม่ผิด นั่นหมายความว่าถ้าใครซื้อตั๋วไปกลับ จะต้องกลับตามเวลา ดังนั้นถ้าใครอยากอยู่ต่อจนเย็นๆเลยแล้วเดินลงเองก็ทำได้ครับ ซื้อตั๋วขึ้นไปอย่างเดียวพอ
หลังจากนั้นเขาก็มาไล่ เลยต้องลงมา แต่ไม่เป็นไร เราก็เดินไปต่อริมบึงเรื่อยๆ วิวมันสุดยอดมากๆ อากาศก็เย็นๆ ด้วยเพราะอยู่ริมน้ำ
ต่อมาเลยตัดสินใจเดินไปใจกลางสะพานที่เห็นในภาพเลย
วิวตรงนี้เป็นแบบ 360 องศา คือรอบด้านนั้นวิวสวยมากจริงๆ อยากให้ทุกคนมาอยู่กลางสะพานเห็นกับตาตัวเองเลยครับ มองไปทีภูเขาไฟฟูจิอีกครั้งตอนนี้เมฆบังเกือบหมดแล้ว ยามเย็นท้องฟ้าสีชมพูๆ
ตกเย็นแล้วเราก็เดินกลับไปเรื่อยๆ จนเห็นร้านอาหารไทย คนญี่ปุ่นทำให้ทานครับ จ่ายไป 2xxx เยน แต่จำได้ว่าได้น้อยมากๆ เหมือนอยู่บ้านเราถ้าเราอยากกินอาหารเมืองนอกก็จะแพง อันนี้ก็เช่นกัน อาหารไทย เป็นอาหารนอก ของประเทศเขา 55
และเราก็เดินกลับไปซื้อของที่ Family Mart กลับพักผ่อนค่อยลุยวันต่อไปกัน
Day 8. เที่ยวฟูจิต่อ และเดินทางไป Osaka
- Check out โรงแรม Kawa 10 โมงเช้า
- เอาของไปเก็บไว้ในตู้ฝากของที่สถานีรถไฟ Kawaguchiko (มีรถจากโรงแรมไปส่ง)
- เช่าจักรยานเที่ยวรอบทะเลสาบ
- ออกเดินทางไป จากสถานี Kawaguchiko ไปยัง Mishima ด้วยรถบัส เพื่อขึ้น Shinkansen ไป Osaka
สำหรับคนที่จะทำตามแผนผม ควรที่จะปั่นจักรยานให้เสร็จแล้วเอามาคืนตอนบ่ายโมงเป๊ะๆ พอดี เพราะจะได้ทันรถบัสไป Mishima รอบประมาณ 13:20น ถ้าจำไม่ผิดนะ ประมาณนี้ ดังนั้นมาให้ตรงเวลาบ่ายโมง แล้วจะได้ไม่เสียเวลาทิ้ง ส่วนผมน่ะเหรอ เหอะๆ มาไม่ทัน ก็นั่งหายใจทิ้งที่สถานีรถไฟไป 2 ชั่วโมง กว่าจะได้ขึ้นรถก็ตอนประมาณ บ่ายสามโมงเย็น ถึง Mishima ก็ 4 โมงเย็น ขึ้น Shinkasen ไป Osaka อีก กว่าจะถึง Osaka ก็ค่ำแล้ว ดังนั้นวันนี้คือวันสำคัญที่จะต้องตรงเวลา
หลังจาก check out โรงแรมก็ไปส่งผมที่สถานี ผมก็เอาของไปเก็บที่ตู้ฝากของ มีตู้เล็ก 300 เยน ส่วนผมใช้ตู้ใหญ่ 500 เยน อันนี้ก็เลือกๆ เอานะครับ วิธีใช้ก็เปิดตู้ แล้วเอากระเป๋าเดินทางยัดเข้าไป แล้วก็ปิด หยอดเหรียญให้ครบ แล้วก็จะสามารถบิดกุญแจเพื่อปิดได้ เรามีหน้าที่รักษากุญแจให้ดี เพื่อจะได้เปิดเอาของคืนได้
ต่อมาผมก็ได้เช่าจักรยาน ด้านหน้าสถานีเลย เช่าตอนประมาณ 10:30 มีเยอะแยะ เช่า 2 คัน 3 ชั่วโมง กลับมาให้ทันบ่ายโมง ครึ่ง พร้อมแล้วสหาย ออกเดินทางกันเลย
ปั่นต่อไปเป้าหมายปลายทางของวันนี้คือทุ่งลาเวนเดอร์ หรือ Kawaguchiko Natural Living เป็นสถานที่คนนิยมไป ถ้าอยากไปสบายๆ แนะนำให้ขึ้นรถบัสไปครับ ส่วนผมกว่าจะปั่นไปถึง ทั้งแดดทั้งร้อน แต่ผมว่าปั่นไปเองมันกว่า เพราะว่าได้เห็นวิวในแบบที่คนนั่งรถทั่วไม่เห็นแน่นอนเชื่อสิ
ปั่นต่อไป เจอบ้านสวยๆ ก็แวะถ่าย
ตรงนี้เป็นที่เดียวกับมิวสิควิดีโอ เอ-ปอย เพลง ปรากฎการณ์ ตรงเรือเป็ดชมพู
มาถึงแล้วครับทุ่งลาเวนเดอร์ Kawaguchiko Natural Living บอกเลยว่าปั่นมาไกลมากๆ คิดอยู่เลยตอนกลับจะทำยังไง ปั่นมาประมาณ 1 ชั่วโมง กลับอีก 1 ชั่วโมงครับ ปรากฎว่ามันไม่บานเลยครับ ขี้เหร่เลย ใครจะมาเลือกช่วงดีๆนะครับ 555
แต่ก็ยังดีมีอะไรให้ดูนิดหน่อย ฮ่าๆ มีนักท่องเที่ยวหลงมากันเยอะเลยครับ
เสร็จแล้วเราก็นั่งกินข้าวและไอติมที่นี่กันครับ ไอติมอร่อยมากมาลองกันนะ และก็รีบปั่นกลับสถานี Kawaguchiko กลัวจะไม่ทันการ สรุปแล้วเราเที่ยวอยู่ที่ภูเขาไฟฟูจิ 24 ชั่วโมงเต็มๆ
ภูเขาไฟฟูจิ Fuji San จาก สถานี Kawaguchiko ไป Osaka
- นั่งรถบัสไปลงสถานี Mishima Station ก่อน 1 ชั่วโมง 40 นาที
- นั่ง Shinkansen ต่อไปลง Shin Osaka
เมื่อเอารถจักรยานไปคืนก็รับตังมัดจำมา หลังจากนั้นก็ไปซื้อตั๋วด้านในสถานีรถไฟ Kawaguchiko ครับ ถ้ามองจากด้านหน้าเข้าไปที่สถานี ให้เดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะมีที่ขายตั๋วรถบัสอยู่ อ่านป้ายเอามีภาษาอังกฤษอยู่ ไป Mishima นะครับ ดูป้ายดีๆ 2260 เยน ต่อคน
ของผมเนื่องจากผมมาสาย ดังนั้นผมเลยได้ตั๋วรอบ 15:20 ของวันที่ 17/6/60 แต่ตอนนี้เวลา 13:30น ดังนั้นผมก็เลยเสียเวลาอยู่ตรงๆนี้ประมาณ 2 ชั่วโมงไปฟรีๆ วางแผนดีๆนะครับ อย่างที่บอก
จากลาภูเขาไฟฟูจิด้วยรูปนี้เป็นรูปสุดท้าย ฟูจิซัง คู่กับสถานีคาวากูจิโกะ เห็นอยู่นิดๆ
- ถ้าสังเกตในรูปประตูเล็กๆ ด้านหน้าจะเป็นประตูห้องฝากของที่มี Locker หยอดเหรียญนะคับ ตอนผมเอาของมาฝาก ฝากไว้ที่นี่ล่ะ
เดินทางต่อไปครับประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ก็จะไปถึง บ่าย 5 โมงเย็นพอดี
รถจะจอดให้ด้านหน้าสถานีเลยตามภาพ
เดินเข้าไปตรงประตู ที่เห็นในภาพ ก็จะเจอห้องขายตั๋วรถไฟ Shinkansen ทันที รีบไปซื้อกัน เพื่อที่จะไปสถานี Shin Osaka เข้าไปคุยกับพนักงานเลย ก็จะได้ตั๋วมา และก็ไปรอรถต่อไป ราคาตั๋ว 12,080 เยน ต่อคน รถไฟ Shinkansen ออกเวลา 17:48 ถึง 20:00น
การรอรถไฟ ก็สังเกตตั๋วเราบอกว่ารถออก 17:48น ที่สถานีด้านบนตรงยืนรอรถไฟ มันจะมีเวลาบอก เราก็ดูตัวเลขให้มันเป๊ะๆ กันยืนรอตรงนั้น หรือจะถามใครก็ได้ และการขึ้นรถไฟ Shinkansen ควรถามคนอื่นให้มั่นใจมากๆนะครับว่าถูกทาง รถจะจอดแป้บเดียวต้องรีบวิ่งขึ้น ถ้าไม่ขึ้นประตูปิดตกรถ แล้วเราอาจจะเสียเงินฟรี
เดินทางต่อกันครับ อีกประมาณ 2 ชั่วโมง 52 นาที ต่อเดียวนะครับ รถไฟ จะวิ่งด้วยความเร็วเกือบ 300 km/h ลองใช้ app บนมือถือจับความเร็วเอา เจ๋งมาก
พอมาถึงเราก็ต้องนั่งรถไฟต่ออีก ยังไม่ถึงง่ายๆครับ การเที่ยวละแวกโตเกียวแล้วมาเที่ยวโอซาก้า จริงๆ ผมไม่แนะนำให้ทำตามนะครับเพราะจะเกิดรายจ่ายสูงมาก โดยเฉพาะค่าเดินทางหลายต่อ และมาเจอค่า Shinkansen นี่ล่ะ แต่ผมอยากลองนั่งดูไม่เคยนั่ง เคยดูแต่ในการ์ตูน ครั้งแรกและครั้งเดียวพอ ถ้ามาอีกรอบจะเที่ยวในละแวกเดียวกัน ไปลงสนามบินนาริตะ และกลับนาริตะเลย งบประมาณการเที่ยวจะถูกลงกว่า 15000 บาท แน่นอน ต่อ 2 คนนะ
การเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าใน Osaka จะค่อนข้าง งง หน่อยนะครับ เช่นโตเกียวยืนขึ้นบันไดเลื่อนชิดซ้าย โอซาก้าชิดขวาเสรย และคนโอซาก้าจะไม่ค่อยเป็นระเบียบ เมืองโตเกียวนี่สะอาดมาก ระเบียบมาก โอซาก้านี่นึกว่าอยู่เมืองไทย คนต่างชาติก็เยอะ ขยะก็เยอะ และที่สำคัญป้ายบอกทางในรถไฟไม่ค่อยจะเคลียร์ ดูแล้วไม่เข้าใจ เดินๆ อยู่ป้ายหาย แล้วจะไปตรงไหนต่อ สถานีใหญ่ๆ เช่น Namba นี่ คนขวักไขว่มาก และมีหลายชั้น หลายเส้นทาง ผมพยายามหลีกเลี่ยงสถานีนี้ครับ เพราะจะไปไหนมาไหน งงสุดๆ
ส่วนการใช้ gps เปิดดู google maps ที่ Osaka ผมงงว่า google maps ทำงานเพี้ยน ผมไม่ทราบตำแหน่งที่แท้จริงผม และก็ไม่รู้ทิศทางหันมั่วไปหมด ดังนั้นการเดินทางในเมืองนี้สำหรับผมมือใหม่ คนที่ไม่รู้อะไรเลย จึงยากมากๆ
กลับมาต่อที่สถานี Shin-Osaka หลังจากนั่งรถไฟมานาน ในที่สุดก็ถึง และผมต้องนั่งรถไฟขบวนอื่นไปลงที่ Namba อีกต่อเดียวครับ และเดินต่อไปยังที่พักผมค่อนข้างเดินไกล จริงๆ เราควรจะไปลงที่ Nippombashi แต่เนื่องจากสถานีมันใหญ่และงงๆ เลยเลือกที่จะเดินขึ้นมาจากหลุมเพื่อรับ gps และจะได้เดินต่อถูก คนเยอะจริงๆ
การเดินทางจา Shin-Osaka ไป Namba มีหลายทาง ให้เช็กจาก google maps เอา ว่าเส้นทางไหนดีที่สุดในขณะนั้นครับ เช็กเป็นครั้งๆ ไป
สำหรับที่พักผมได้จองผ่าน Agoda เป็นอพาร์ทเม้น ชื่อว่า BB1 Bedroom Apt Dotonbori 903 est ที่มีคนมาปล่อยเช่านะครับ เจ้าของเป็นวัยรุ่นหน่อยนะครับ หน้าตาดี ห้องก็ถือว่าโอเคมาก ใหญ่ที่สุดแล้วเท่าที่พักมา 4 แห่ง
คืนหนึ่งก็ 2000 บาท ประมาณนี้ อยู่ Osaka จ่าย 2000 บาท ได้แค่อพาร์ทเม้นครับ เป็นเมืองที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากเลยทีเดียว อยู่ที่อื่นที่พึ่งไปมา อย่างน้อย 2000 ก็ได้เป็นโรงแรมครับ ค่าเฉลี่ยที่พักของผมอยู่ที่ 2100 บาท ต่อคืนครับ อพาร์ทเม้นแบบปล่อยเช่าแบบนี้ใน agoda แล้วแต่เงื่อนไข แล้วแต่ที่นะครับว่าจะเป็นแบบไหน แต่ของผม เวลาเช่าเสร็จแล้ว เจ้าของเค้าจะส่งรายละเอียดมาให้ทาง อีเมล์เราอีกที ต้องเช็กอีเมล์ดีๆ นะครับ อีเมล์ที่ให้ไว้กับ agoda ภายในอีเมล์จะบอรายละเอียดว่าเราจะเข้าห้องได้อย่างไร เขาจะบอกรหัสผ่านเข้าประตูด้านหน้า และรหัสล๊อกเกอร์เพื่อเข้าไปเอากุญแจห้อง อันนี้ของห้องที่ผมเช่านะครับ แต่ละที่ก็คงไม่เหมือนกัน
สำหรับใครว่าจะมา พักตรงไหน ก็ลองวางแผนกันดูนะครับ ผมพักแถว Namba, Nipppombashi เลย มันเป็นย่านขายของ ช๊อปปิ้ง ดังนั้นมันก็จะแพงหน่อย แต่ถ้าเราไปพักไกลๆ ออกไปอาจจะถูกลงได้ครับ แต่ก็จะมาเสียค่าเดินทางอีกที แต่จากประสบการณ์ผม ถ้าให้ผมไปอีกรอบผมจะพักห่างๆ ไปเลย ค่อยเดินทางมาก็ได้ เพราะอยู่แถวๆ นั้นมันจะวุ่นวายจริงๆ
เมื่อถึงที่พักแล้ว ผมก็ไปเก็บของที่อพาร์ทเม้น โดยรายละเอียดของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน อย่างของผมเจ้าของห้องจะเมล์มาหาบอกว่ารหัสเข้าอพาร์ทเม้นประตูด้านหน้าอะไร กุญแจอยู่ในล๊อกเกอร์ ต้องใช้รหัสอะไรถึงจะเปิดได้ ดังนั้นการเช่าอพาร์ทเม้นจากอโกด้า ได้โปรดเช็กเมล์ดีๆ อพาร์ทเม้นที่ผมพักนี่ ห้องกว้างที่สุดในบรรดาที่พักมา เตียงเป็นฟูกนิ่มมาก
เสร็จแล้วคืนนี้กว่าจะถึงห้องก็ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว เราไปหาทานเนื้อย่างที่ร้าน Yaki Niku กัน ปิดท้ายของวัน
Day 9. นั่งไปเที่ยว Kyoto เมืองเก่าของญี่ปุ่น
- Kyoto Arashiyama Bamboo Grove ป่าไผ่ที่เกียวโต
- Kyoto Kiyomizu-dera
ผมมาพักที่ Osaka นะครับ แต่วันนี้จะไปเที่ยว Kyoto เป็นเมืองเก่า ห่างกันจาก Osaka ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ บางคนอาจจะคิดว่าทำไมไม่ไปพักที่ Kyoto เลย คือว่าสัมภาระที่ขนมาด้วยมันจะเป็นภาระ เลยอยากให้ของๆเราอยู่ๆ ที่เดียวไปเลย ไม่อยากเปลี่ยนที่นอนบ่อยๆ
การเดินทางผมก็ใช้รถไฟล่ะครับ เราจะไปที่ Bamboo Grove กันก่อน ดังนั้น เราควรนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Arashiyama โดยผมเริ่มนั่งจากต้นทางคือ Nippombashi ไปยัง Arashiyama Station อย่าลืมว่าเราต้องหมั่นสังเกตป้ายดีๆ เพราะที่นี่ป้ายดูยาก
สถานี Arashiyama มันมี 2 ฝั่ง ผมนั่งจากฝั่งก่อนข้ามแม่น้ำดังรูป คนส่วนใหญ่ที่มาจาก Osaka ก็ลงกันตรงนี้ล่ะ
เมื่อถึงแล้วเราก็เดินข้ามสะพานกัน สะพานน้ำแห้งเดินได้เลยถ้าจะเดิน กิจกรรมแถวนี้ที่ทำกันก็คือ เดินชมวิว นั่งรถสามล้อที่ให้คนเข็นให้ ดูป่าไผ่ ชมวัด
มาถึงที่นี่เมืองมันเก่าๆ เห็นแม่น้ำอย่างนี้ นึกไปถึงวัยเด็กคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อน นึกไปนึกมา คิดถึง อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา เห็นคนญี่ปุ่นมาซักผ้าริมแม่น้ำ อะไรอย่างนี้
เดินต่อไปต้องเดินขึ้นเขาก็จะเจอป่าไผ่ แต่คนเยอะมากนะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปแบบ ยืนอยู่กลางทางเดินที่มีป่าไผ่ระนาบสองฟาก เหมือนที่คนอื่นเขาถ่ายกัน ในซอยตรงนั้นคนเยอะจริงๆ ไปออกันอยู่ตรงนั้น
หลังจากเสร็จจากนี้ ผมก็นั่งรถไฟจากสถานีอาราชิยาม่า Arashiyama อีกสถานีหนึ่งชื่อว่า Shijo-Omiya Station ไปยังในเมือง Kyoto กัน นั่งจนสุดสาย รถไฟสายนี้เป็นตู้เดียว ตู้เล็กๆ เหมือนรถราง บางครั้งก็นั่งอยู่บนรางรถไฟ บางครั้งก็วิ่งบนถนนเช่นเดียวกับรถยนต์ ระยะเวลาที่ใช้ทั้งสิ้น 39 นาที ดูตามรูปด้านล่างคือสีเขียวจากซ้ายไปขวาสุด
เนื่องจากผมจะไป ร้าน Yumeyakata ซึ่งเป็นร้านเช่าชุดกิโมโน หรือชุดเก่าๆ ของญี่ปุ่น ที่ปักหมุดไว้ในรูปด้านบน ดังนั้นเราควรที่จะต่อรถไฟอีก 2 ต่อ สีดำ และก็ต่อรถไฟสีเขียวอีกครั้ง แล้วก็เดินอีกแป้บก็จะถึงร้านเลย แต่เราไม่ได้นั่งต่อ ดังนั้นจากที่ลงจากรถราง เราก็เดินเอา บอกเลยว่าเดินค่อนข้างไกล แต่เดินชมเมือง Kyoto สวยดีครับ ให้บรรยากาศแบบเก่าๆ
เมื่อถึงร้าน Yume yaka แล้วแฟนผมก็ได้เข้าไปเลือกชุดใส่ เลือกและใส่ชุดใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็เสร็จ แนะนำให้รีบมาร้านนี้เร็วๆ เพราะมันจะมีเวลาคืนชุดอยู่ไม่เกิน 1 ทุ่ม ถ้าเราเช่าช้าเราก็จะมีเวลาใส่เสื้อน้อยตามไปด้วย จริงๆแล้วเราสามารถคืนวันถัดไปได้แต่น่าจะต้องเสียเงินเพิ่มอีกนิด แต่ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ต่อไงครับ เพราะว่าจะต้องกลับ Osaka มาวันเดียวกลับ ทางเลือกอีกทางคุณผู้หญิงสามารถซื้อเลยก็ได้ครับ ราคาก็สูงกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าอยากเช่าแล้วอยากได้ราคาถูกลงมาแนะนำให้จองผ่านเว็บไปก่อน จะถูกลงกว่ามา walk in เดินไปในร้านเลย สำหรับผมไม่ได้เช่าเพราะเป็นคนช่วยถ่ายรูป เช่าแค่แฟนผมเท่านั้น ชุดกิโมโน ผู้หญิงคนไหนใส่ก็จะสวยครับ เป็นชุดที่สวยและเดินยากมากครับ แนะนำให้พาแฟนมา
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่วัดน้ำใส Kiyomizu Temple คนนิยมใส่ไปถ่ายรูปกันที่นี่
รูปที่ถ่ายๆ มา ผมพกมา 3 กล้อง นั่นคือ กล้องมือถือ Note5, กล้อง Fuji Xa2, และกล้องมุมกว้างๆแบบนี้ใช้ Gopro5 ถ่าย รูปส่วนใหญ่ที่เห็นในบทความนี้ จะเป็น Note5 และ Gopro5 ครับ ไม่ได้เอาฟูจิมาลงให้ดู พอดีกล้องไม่ได้อยู่กับตัวลืมเอารูปออกมา เดี๋ยวถ้าว่างจะใส่เพิ่มให้ดูครับ รูปทั้งหมดในบทความนี้ไม่ได้แต่งรูปนะครับ เป็นรูปสด ไม่มีเวลา ลำพังแค่เขียนก็เมื่อยแล้วครับ 55
เมื่อเข้าวัดที่ด้านล่าง มันยังไม่ใช่วัดน้ำใสนะครับเราต้องเดินขึ้นไปต่อสูงๆ ระหว่างทางเดินขึ้นเป็นหลุมศพมากมาย เก๋ดี ไม่ต้องกลัว
ขึ้นมาถึงวัดแล้ว
วิวที่นี่จะสวยมากเห็นเมือง Kyoto เลยอยู่ลิบๆ
และก็ถ่ายรูปเล่นกันจนมืดค่ำจนได้เดินลงจากวัดระหว่างทางกลับเป็นร้านขายของ จริงๆมันเปิดล่ะครับ แต่ว่าผมกลับค่อนข้างจะมืดแล้ว ร้านเลยปิด รูปด้านล่างผมดึงแสงขึ้นมัรนเลยเห็นสว่างๆ ให้ชมครับ หลังจากนั้นผมก็ได้พาแฟนไปคืนชุด และก็กลับ Osaka กัน วันนี้เหนื่อยกันมาก
ทิ้งท้ายด้วยรูปจาก Fuji XA2 สักภาพ
Day 10. เที่ยวปราสาท Osaka และเตรียมตัวกลับกรุงเทพ
- Check Out อพาร์ทเม้น 11 โมง และนำของไปฝากไว้ที่สถานี Nippombashi มี Locker
- ไปเดินเที่ยวเล่นที่ศูนย์การค้าแถว Namba เพื่อซื้อของฝาก
- นั่งรถไฟไปสนามบิน คันไซ
วันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นวันที่เราตื่นสายๆกัน จริงๆสำหรับการเที่ยว 9 วันก็รู้สึกเยอะล่ะ วันที่ 10 นี่ก็อยากจะกลับแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่อารมณ์ว่าเฮ้ยแป้บเดียวต้องกลับ ยังไม่หนำใจเลย บอกเลยว่า 10 วันนี่เกินพอ ทำให้คุณจนลงได้เยอะเลยครับ
วันนี้หลังจาก Check out เราก็ไปฝากของพวกกระเป๋าเดินทางที่ สถานี Nippombashi มันจะมี Locker ให้ฝากอยู่ ราคาเหมือนเดิม ขั้นต่ำ 300 เยน ผมฝากตู้ 300 เยน กับ 500 เยน นี่ล่ะ สองตู้ เนื่องจากของเยอะ แล้วเราก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาท Osaka เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง Osaka
เราต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี ทะนิมาจิยงโจเมะ Tanimachiyonchome ผมว่าใกล้ปราสาทโอซาก้าสุดล่ะ แล้วก็ต้องเดินต่อ พอระยะทางก็ไกลสมควรเพื่อไปยังปราสาท โอซาก้า Osaka Castle
เมื่อมาถึงแดดมันร้อน ผมได้นั่งเล่นด้านนอกก่อน นานพอสมควรนะ จนได้เจอคนญี่ปุ่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินจูงหมาพุดเดิ้ลมา คลายความสงสัยให้ผมตลอด 9 วันที่ผ่านมา ผมเห็นคนจูงหมาในหลายๆ ที่ ตั้งแต่โตเกียว โยโกฮามา ผมพยายามเรียกมันด้วยการเดาะลิ้น เดาะๆๆๆ แต่มันคงเบาไปมันไม่หัน อีกอย่างก็เกรงในเจ้าของด้วย สงสัยมานานว่ามันจะเข้าใจไหม จนผมได้ไขปริศนาว่า หมาที่ญี่ปุ่นมันเข้าใจภาษากลาง เดาะๆๆๆ แต่เวลาเรียกบางทีมันไม่สนใจ แต่น่าจะเป็นเจ้าของเท่านั้นที่มันจะหัน หมาไทยก็เฟรนลี่แบบคนไทยล่ะครับ ใครเรียกก็หัน
เดินเข้าไปด้านในก็จะเห็นปราสาท Osaka ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าคนสมัยก่อนทำไมสร้างคูน้ำรอบปราสาทได้ลึกขนาดนี้ หลายชั้นด้วยนะ ชั้นนอกตัวปราสาท กับชั้นในก่อนถึงตัวปราสาท ความลึกของคูน้ำขนาดนั้นทหารข้าศึกบุกมาคงบุกเข้าไม่ได้ตายก่อนหมด 555 กว่าจะลง กว่าจะขึ้นมาโดนยิงตายแน่นอน
วันนี้เป็นวันที่แดดจ้าและร้อนเป็นพิเศษ แต่คนก็เยอะ นี่ไงมาถึงแล้วปราสาทโอซาก้า เคยเห็นแต่ในรูป และในการ์ตูน ในทีวี เรื่องเล่า อย่างน้อยเราก็มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ฮ่าๆ ประสบการณ์ใครก็ไม่ดีเท่าประสบการณ์ตัวเอง แต่ก่อนผมไม่ชอบเที่ยวนะครับ จนมาเริ่มตระหนักว่าจะเก็บเงินจนแก่ไว้รักษาตัวเอง ตอนนั้นคงเดินไม่ไหว ไม่อยากเที่ยวแล้ว หรือว่าจะไปมันตั้งแต่ตอนนี้เลย ไปให้เห็นโลกกว้างด้วยตาตัวเอง
วันนี้ก็เป็นวันสุดท้าย ไม่ค่อยอยากจะไปไหน เท่าไรเนื่องด้วยเวลา และแล้วเราก็ต้องจากปราสาทไป แต่ก่อนจากไปผมได้เจอคณะละครสัตว์ Riki เขามาเล่นเปิดหมวกให้ชมด้วยข้างๆ ปราสาท ดูเสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ
ไปช๊อปปิ้งต่อย่านนัมบะ Namba และก็ถึงเวลา 18:30น ก็เริ่มไปเอาของจากสถานี Nippombashi แล้วก็นั่งรถไฟต่อไปยังสนามบินเลย แต่สำหรับตอนที่ผมขึ้นไปนั้น ประมาณ 19:00น google maps มันแนะนำให้ไปลงที่สถานี Tengachaya Station ก่อน และเราก็ไปซื้อตั๋วแบบ พิเศษ เป็นตู้สงวนที่นั่ง จาก Tengachaya เพื่อไปลงสนามบิน Kansai Airport จะได้นั่งสบายๆ จ่ายแพงกว่าไม่กี่บาท จากในรูปราคามัน 1270 เยน ถ้าซื้อแบบไม่ใช่ตู้พิเศษ ราคาจะประมาณ 990 เยน แต่คิดดูนะ รถไฟสายนี้ คนอัดกันแน่นมากๆ ไม่เคยเห็นรถไฟที่ไหนคนแน่นเท่านี้มาก่อน ตั้งแต่มาญี่ปุ่น พึ่งเห็นที่นี่ล่ะ ถ้าซื้อแบบไม่จองที่นั่งตายแน่นอน ของก็เยอะ
รถไฟออกอีกที 2 ทุ่ม 4 นาที จาก Tengachaya Station
ไปถึงสนามบิน Kansai 2 ทุ่ม 40 และเรายังพอมีเวลาอีกประมาณ ครึ่งชม เพื่อไปนั่งทานข้าวที่สนามบิน ถ้าจะให้ดีแนะนำให้ทุกคนหาอะไรทานให้เรียบร้อยจากด้านนอกก่อนเข้าสนามบินไม่งั้น ค่าอาหารจะแพง
ทานข้าวเสร็จที่สนามบิน เราก็ไปต่อแถวเพื่อ Check In นะครับ ประมาณเวลา 3 ทุ่มครึ่ง ผม Air Asia ก็ไปต่อคิว มันไม่มีตู้เช็กอินอัตโนมัติแบบที่ไทยนะ ตอนเช็กอินยื่นให้แต่พาสปอร์ต และก็โหลดกระเป๋า อย่าลืมว่าตอนซื้อตั๋วมาญี่ปุ่นเราต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าให้เยอะหน่อย เพราะตอนกลับจะหนักกว่าตอนมา
เมื่อโหลดกระเป๋าแล้ว ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง เรารอโหลดกระเป๋าประมาณ 1 ชั่วโมงเลย เราก็ไปตรวจคนออกจากเมือง แล้วก็ไปสแกนกระเป๋าตรวจสิ่งต้องห้าม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็จะมีร้านค้าปลอดภาษี จะมีช๊อกโกแลตอร่อยๆ ขาย และขนมโมจิ ฯลฯ เต็มไปหมด ไปซื้อเอาตรงนั้นครับ
ดูเวลาให้ดี เราจะต้องขึ้นรถไฟภายในสนามบินเพื่อไปยัง Gate ของเรา รอที่ Gate และก็ออกบินตอนเวลา 23:55น กลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ แป้บเดียวถึงเพราะหลับ
สรุปค่าใช้จ่ายเที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน งบประมาณ
รายการ เที่ยวญี่ปุ่น 2 คน งบประมาณ | ค่าใช้จ่าย |
เครื่องบินไป – กลับ x2 | 15,704 บาท |
ที่พัก 10 คืน 4 โรงแรม | 21,418 บาท |
ค่าตั๋ว Disney Sea x2 | 4,720 บาท |
ค่าโหลดกระเป๋า ไปญี่ปุ่น | 1,800 บาท |
ค่าโหลดกระเป๋ษ มาไทย | 1,451 บาท |
Sim2Fly 399 บาท 8 วัน + 150 บาท 2 วัน | 1,098 บาท |
ค่า taxi จาก condo ไปสนามบิน + toll 70 | 210 บาท |
แลกเงินไป 93,000 Yen | 30,011.00 บาท |
กดเงินจากตู้ 7-11 Bank ที่ญี่ปุ่น 30,000 Yen + fee100 บาท | 9,566 บาท |
กดเงินจากตู้ 7-11 Bank ที่ญี่ปุ่น 10,000 Yen + fee100 บาท | 3,255 บาท |
รวมเงิน | 89,233 บาท |
เหลือเงินกลับมาไทย 3,665 Yen (1,221 บาท) | – 1,221 บาท |
ค่าใช้จ่ายสุทธิ | 88,012 บาท |
ดังนั้นทริปนี้ 10 วัน ผมหมดเงินไปทั้งหมด 88,012 บาท สำหรับ 2 คน ก็ถือว่าโอเคนะครับ สำหรับใครจะปรับลดค่าใช้จ่ายลง สามารถปรับลดได้ที่ค่าอาหารครับ
อาหารที่กินตามร้าน เช่น ราเมง จะประมาณ 600 Yen ขั้นต่ำ ดังนั้น ถ้าจะอยากกินถูกๆ กว่านี้ แนะนำอาหารกล่อง 7-11 หรือ Family Mart ครับ ราคา 400 Yen รวม vat แล้ว
ราคาสินค้าในญี่ปุ่นมันจะมีรวม Vat กับไม่รวมนะครับ เช่นผมไปซื้อของที่ Family Mart มันเขียนว่า 91 Yen ซึ่งก็คือน้ำเปล่านี่ล่ะ ประมาณ 30 บาท พอไปจ่ายจริงๆ หน้า Counter เราจะต้องจ่ายมากกว่านั้นนะครับ ผมเคยเตรียมเงินพอดีเลย สรุปก็งงๆ ว่าทำไมมันแพงกว่าราคาที่เราคำนวณ สุดท้ายเลยเข้าใจว่า มันแพงเพราะมี Vat เพิ่มเข้ามา
หลายคนอาจจะสงสัยว่าเที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน ใช้เงินเท่าไร เดี๋ยวมาดูกันว่าผมใช้อะไรไปบ้างในญีปุ่น
รายจ่ายสำคัญ | รายจ่ายปรับลดได้ | |
Day 1 วันเดินทางมาญี่ปุ่น | ||
มาม่าบน Air Asia | 240 en | |
บัตร Suica 500+เติมเงิน 1500 สำหรับ 2 คน | 4,000 en | |
ค่าอาหารทั้งวันในญี่ปุ่น | 2,274 en | |
ค่า Sky Liner Fix ที่นั่ง (อาจจะขึ้นรถธรรมดาไปก็ได้) | 2,460 en | |
Day 2 เที่ยโตเกียว | ||
อาหารทั้งวัน | 5,064 en | |
เติมเงินบัตร Suica คนละ 2000 | 4,000 en | |
ซื้อป้ายแขวนที่วัด Meijo ขอพร | 500 en | |
อื่นๆ | 210 en | |
Day 3 เที่ยว Disney Sea | ||
อาหารทั้งวัน | 4,106 en | |
ค่าตั๋ว รถไฟฟ้าไป disney sea ลืมเอา suica มา | 550 en | |
ค่าตั๋ว รถไฟฟ้า disney line 650×2 | 1,300 en | |
อื่นๆ | 200 en | |
ค่ารถไฟฟ้ากลับที่พัก | 510 en | |
Day 4 เที่ยวในโตเกียว (ฝนตก) | ||
ร่ม | 500 en | |
อาหารทั้งวัน | 5,577 en | |
ค่าเข้า skytree x2 | 4,120 en | |
ถ่ายถ่ายรูปที่ skytree | 1,300 en | |
อื่นๆ | 518 en | |
Day 5 ไป Yokohama และเที่ยว | ||
อาหารทั้งวัน | 5,382 en | |
ตั๋วรถไฟไปโยโก 1 คน ส่วนผมใช้ suica ใช้ให้บาล้านกับวันที่ 3 | 710 en | |
Day 6 เที่ยว Yokohama | ||
อาหารทั้งวัน | 5,471 en | |
Day 7 เที่ยว Fuji San | ||
อาหารทั้งวัน | 3,776 en | |
ค่าตั๋วรถไฟ JR ไปฟูจิ เติมเงินเข้า suica | 6,000 en | |
ค่าขึ้นกระเช้าลอยฟ้า rope way | 1,600 en | |
Day 8 เที่ยวฟูจิ และไป Osaka | ||
ฝากของ locker | 500 en | |
เช่าจักรยาน 2 คน 3 ชั่วโมง | 2,000 en | |
ค่าอาหารทั้งวัน (อาหารเย็นมือใหญ่ เนื้อย่างที่ osaka 5497en) | 9,099 en | |
ค่าเดินทางรถบัสไป Mishima x2 | 4,520 en | |
ค่าชิงคันเซนไป Shin Osaka x2 | 24,160 en | |
Day 9 เที่ยว Kyoto | ||
ค่าอาหารทั้งวัน | 4,755 en | |
เติมเงิน suica x2 | 2,000 en | |
ค่าเข้าวัดที่ arashiyama x2 | 1,000 en | |
ค่าเช่าชุดประมาณ 6,000 en จำตัวเลขไม่ได้ชัดๆ | 6,000 en | |
รถบัสไปวัดน้ำใส | 460 en | |
ค่าเข้าโซนจำกัดในวัด | 800 en | |
ค่าเติมเงินในบัตรเพิ่มเติม suica (เติมกับเจ้าหน้าที่) | 508 en | |
Day 10 เที่ยว Osaka | ||
ค่าอาหารทั้งวัน | 6,886 en | |
ค่าซื้อตั๋ว ไม่ใช้ suica แล้ว | 1,280 en | |
ค่าตั๋วรถด่วนไปสนามบิน | 2,540 en | |
ของฝาก | 1,052 en | |
อื่นๆ | 510 en | |
ดูละครสัตว์ Riki เลยให้ 500 เยน | 500 en |
ค่าใช้จ่ายจำเป็นพวกค่าเดินทาง ถ้าหากทำตามทริปผมนั้นอาจจะลดไม่ได้ แต่จะไปลดได้คือค่ากิน ถ้าใครกินง่ายๆ มาม่า ก็ได้ ก็ถูกกว่านี้มากๆ ครับ 55 ส่วนเรื่องตัวเลขขอเรียกว่าคร่าวๆ ครับ ผมไม่ได้กระทบยอดอะไรให้มันเป๊ะๆมากมาย แต่ให้รู้ไว้ว่าคร่าวๆ นะครับแค่นี้ล่ะ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ เมื่อยมือ เขียนมา 3 วัน
แหม่…น่าอิจฉาครับ
คงต้องเทรด iq option เก็บเงินใหม่อีก 555
ค่ารถไฟ ชินคังเซ็น แพงดีนะ น่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดแระ ปาดเหงื่อซิบซิบ
ดูแล้วอากาศไม่ค่อนร้อนนะครับ ตอนผมไปเดือน สิงหา เรียกว่า อยากถอดเสื้อเดินกันเลย คือ ร้อนมากกกกกก
ปล.แฟนน่ารักดี 555
ขอบคุณนะครับที่ทำรีวิว อ่านสนุกดี
ไม่ไปแล้วครับหน้าร้อน ดำ อยู่ไทยก็ร้อน ไปหน้าร้อนนี้ก็ร้อนเหมือนไทย จะไปทำไม 55
และเป็นไปได้จะไม่นั่งรถไฟข้ามภูมิภาคอีกแล้วครับ เสียเวลา + เสียเงิน มาก
ติดตามที่เที่ยวใหม่ด้วยนะครับ พึ่งลองหัดรีวิวที่ท่องเที่ยว ปกติไม่ค่อยอยากถ่ายรูปเท่าไร และขี้เกียจแต่งรูป
อ่านเอาแต่เนื้อหาสาระก็พอครับ 55